HIGHLIGHT
|
ในโลกที่ไร้พรมแดนและเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดแบบนี้ การสรรหาตามปกติไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป องค์กรทั่วโลกจะต้องใช้ทั้งเครื่องมือและกลยุทธ์ที่แตกต่างเพื่อสรรหาและแย่งชิงคนเก่ง (Talents) ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาพนักงานเดิมให้อยู่ต่อไปด้วย เรามาฟังมุมมองจาก CHRO & HR Director กันดีกว่าว่า ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เป็นโอกาสหรือความท้าทายที่น่ากังวลกันแน่ ?
เหตุนี้ HREX จึงจัดงาน Roundtable ขึ้นมาในหัวข้อ Future of Recruitment : When Hiring is Challenging in Transformation เพื่อพาทุกท่านมาพูดคุยถึง “อนาคตของการว่าจ้างพนักงาน” ผ่านการแชร์ประสบการณ์แบบครบเครื่องของผู้เข้าร่วมงานที่เป็นระดับ Manager ขึ้นไปเท่านั้น โดยวิทยากรที่เข้าร่วมงานประกอบด้วย
- คุณวรวัจน์ สุวคนธ์ CPO จาก Siam Commercial Bank PCL.
- คุณณัฐวุฒิ เกียรติไชยากร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานทรัพยากรบุคคล บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด
- คุณเมธวิน ปิติพรวิวัฒน์ CEO จาก BASE Playhouse
- คุณไมเคิล ยอว์ (Mikel Yaw) Group Managing Director จาก Elabram
- คุณบุญชู มัลโฮตรา – Country Director, HONO.AI
ดำเนินรายการโดย : ดร.สุรพิชย์ พรหมสิทธิ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ทุกเรื่องที่คุณอยากรู้ หาคำตอบได้ในงาน #1st Roundtable: CHRO & HR Director Forum ในหัวข้อแรกแห่งปี ‘Future of Recruitment’
สรุป #1 Roundtable: CHRO & HR Director Forum Discussion #1
คุณวรวัจน์ สุวคนธ์ จาก SCB กล่าวว่า Business Model ของธนาคารในปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา จากเดิมเคยจ้างคนเกือบ 5,000 คนต่อปี เพราะต้องแข่งขันเรื่องการขยายสาขากับธนาคารอื่น ความต้องการคนที่มากขึ้น ตรงนี้ทำให้บางครั้งองค์กรไม่มีเวลามาพิจารณาคุณสมบัติของพนักงานอย่างที่ควรจะเป็น อย่างไรก็ตาม Digital Transformation ในปัจจุบัน ทำให้ธนาคารสามารถลดจำนวนการว่าจ้างเหลือเพียงปีละ 1,000 คน หรือต่ำกว่านั้น และเริ่มเปลี่ยนบทบาทของธนาคาร ให้อยู่ในฐานะของผู้ให้คำปรึกษาด้านการเงินมากขึ้น ต่างจากในอดีตที่เน้นเรื่องการปล่อยสินเชื่อหรือส่วนอื่น ๆ มากกว่า
SCB มองว่าสิ่งสำคัญคือการเข้าถึง Community ในพื้นที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะในประเทศหรือในต่างประเทศ SCB จะทำทุกวิถีทางเพื่อแสวงหาคนเก่ง เช่น การเข้าไปในโรงเรียน, มหาวิทยาลัย ฯลฯ เรียกว่าต้องทำให้พวกเขารู้จักองค์กรตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้รู้ว่าหากโฟกัสกับด้านนี้อย่างจริงจัง องค์กรจะสนับสนุนเรื่องทุนการศึกษาอย่างไรได้บ้าง โดยกรณีของ SCB จะสนับสนุนในด้านของ Tech Scholarship อย่างจริงจัง ซึ่งคนเหล่านี้จะกลับมาเป็นกำลังสำคัญของธนาคารในอนาคต และรุ่นพี่ที่ประสบความสำเร็จก็จะเป็นแบบอย่าง (Role Model) ให้กับคนรุ่นใหม่ นำไปสู่การฝึกงาน (Internship) ที่เหมือนกับการทำงานจริง โดยคนที่มีประสบการณ์จริง คนรุ่นใหม่ที่เข้ามาก็จะเห็นเลยว่าการทำงานจริง ๆ คืออะไร,สิ่งที่เขาจะเรียนรู้และได้รับคืออะไร กล่าวคือ SCB จะสรรหาพนักงานด้วยกระบวนการที่ “เฉพาะเจาะจง” กว่าเดิม
สิ่งสำคัญของการ Recruit ก็คือการดูแลหลังจากได้พนักงานคนดังกล่าวมาแล้ว เราต้องพัฒนา Employee Engagement ในองค์กรให้ดี เพราะหากการบริหารจัดการมีปัญหา คนกลุ่มนั้นก็จะนำปัญหาไปบอกกับคนรุ่นใหม่ เป็น Word of Mouth ที่ไม่ดี เกิดปัญหาที่ไปขัดขวางการสรรหาคนเก่งขององค์กร ดังนั้นองค์กรจะต้องปรับตัวให้ทันยุคสมัยมากขึ้น เช่นจากเดิมกระบวนการของธนาคารจะละเอียด ค่อนข้างช้าตามขั้นตอน แต่ตอนนี้กระบวนการต่าง ๆ ก็จะเร็วขึ้น เพื่อรองรับกับการเข้ามาของคนรุ่นใหม่ นอกจากนี้ SCB ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาเรื่อง Talent Marketplace เพื่อเปิดโอกาสให้พนักงานได้เรียนรู้งานในด้านอื่น ๆ จะได้มีประสบการณ์มากขึ้น หากต้องการทำงานส่วนอื่นในอนาคต อนึ่ง SCB มีการปรับ KPI และนโยบายองค์กร เพื่อเปิดโอกาสให้พนักงานโฟกัสกับการพัฒนาตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดเช่นกัน
ขณะที่ คุณเมธวิน ปิติพรวิวัฒน์ จาก BASE Playhouse กล่าวว่าองค์กรของเขามีพนักงานราว 60 คน และ 20% เป็น Talents โดยเขามองว่า Talent ในปัจจุบันกำลังมองหา Impact อยากทำงานแล้วเห็นผลเลยว่าสิ่งนั้นมีคุณค่าอย่างไร, รู้ทันทีว่าความตั้งใจของตนสร้างประโยชน์อะไรได้บ้าง นอกจากนี้ยังมองหาองค์กรที่กล้าคิดสิ่งใหม่ตลอด, กล้าสร้างสรรค์นวัตกรรมที่แตกต่างจากขนบธรรมเนียม
ในส่วนของวัฒนกรรมการทำงานนั้น BASE Playhouse กำหนดให้เป็น Hybrid แบบ 100% เพื่อต้องการให้คนเก่งรู้สึกมี Ownership กับงาน แต่การจะทำแบบนี้ได้ แต่ละทีมต้องมีเป้าหมาย (Goal) ที่ชัดเจน และไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับพนักงานของ BASE Playhouse ที่พนักงานจะรับงานจากที่อื่น 2-3 งานควบคู่กันไปด้วย ตราบใดที่ยังรับผิดชอบกับงานได้ดีเหมือนเดิม
คุณเมธวินบอกว่า การว่าจ้างในปัจจุบันควรพิจารณาแบบ Skill-Based Recruiting ซึ่งเขาอ้างอิงจากวิจัยของ World Economic Forum ที่กำลังบอกว่าแม้เทคโนโลยีต่าง ๆ จะเติบโตขึ้นมาก แต่สิ่งที่องค์กรต้องโฟกัสไม่ใช่ Hard Skills อย่างเดียว ต้องสนใจเรื่อง Soft Skills ควบคู่ไปด้วย พนักงานยุคนี้ต้องมีความคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) ต้องรู้จักหาข้อมูลเชิงลึก (Insight) การสรรหาพนักงานในยุคนี้ต้องใช้ข้อมูลให้เป็นประโยชน์ (Data-Driven) และองค์กรต้องทำตัวให้คล้ายคลึงกับการเป็น Start-Up มากขึ้น เพื่อปรับวัฒนธรรม (Culture) ให้สอดคล้องกับความต้องการของ Talent ยุคใหม่มากขึ้น
คุณณัฐวุฒิ เกียรติไชยากร จากสยามพิวรรธน์ กล่าวว่าปัญหาสำคัญขององค์กรก็คือการแย่งชิงคนเก่ง โดยเฉพาะเมื่อต้องการพนักงานที่มีทักษะแบบเดียวกับที่บริษัทขนาดใหญ่ต้องการ ดังนั้นแนวคิดของเขาคือการทำให้พนักงานมีแนวคิดเรื่องการ “ปฏิวัติตัวเองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด” อย่างกรณีของสยามพิวรรธน์เอง แม้คนจะรู้จักพื้นที่อย่าง Siam Paragon ดีแล้ว แต่ชื่อบริษัทอย่างเป็นทางการยังไม่ถูกพูดถึงมากนัก ความพยายามในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจึงเป็นการสร้างแบรนด์ให้แข็งแรงชัดเจนขึ้น เช่นการบอกว่าหากคุณมาร่วมงานกับสยามพิวรรธน์ คุณจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้าง Global Destination ของประเทศ เขาจึงแนะนำว่าสิ่งสำคัญขององค์กรขนาดเล็กคือการทำให้คนรู้จักเราในฐานะของ Organization ไม่ใช่ทำให้คนรู้จักในเชิงของ Products & Services อย่างเดียว กล่าวโดยสรุปคือการทำให้ผู้สมัครมี Candidate Journey ที่ดีนั่นเอง
คุณบุญชู มัลโฮตรา Country Director จาก HONO.AI กล่าวว่าการเติบโตของ AI ได้ทำให้ขั้นตอน Candidate Journey เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน เริ่มต้นจาก Skill-Based Hiring ซึ่งจะมีผลลัพธ์อยู่ 2-3 อย่าง เช่นเมื่อว่าจ้างพนักงานเข้ามา องค์กรจะเปิดโอกาสให้พนักงานเลือกเพิ่มเติม ว่านอกเหนือจากตำแหน่งที่เขาสมัครเข้ามา เรามีตำแหน่งอื่น ๆ อย่างไรบ้างที่เขาสามารถเลือกได้ เพื่อสนับสนุนการเติบโตทาง Career Path ที่พนักงานแต่ละคนวางไว้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งองค์กรจะเอา AI, Machine Learning มาช่วยวิเคราะห์และทำให้กระบวนการสรรหาพนักงานโปร่งใส (Transparency) มากขึ้นก็ได้
องค์กรควรเอาเทคโนโลมาใช้ ทั้งเพื่อลดงานของ HR และเพื่อให้ผู้สมัครมีประสบการณ์ที่ดีขึ้น นอกจากนี้องค์กรจะต้องสื่อสารให้ชัดว่าหากมาทำงานที่นี่ พนักงานจะคาดหวัง (Expectation) อะไรได้บ้าง อย่างที่ HONO.AI จะมีแพลตฟอร์ม Data Analytic ที่เปิดโอกาสให้พนักงานอัพโหลด CV เข้ามา และระบบจะบอกได้เลยว่าเขาเหมาะกับงานแบบไหน วิธีนี้จะทำให้พนักงานรู้ว่าการมาทำงานที่นี่จะทำให้เกิด Career Growth ไม่ได้จำกัดอยู่แค่งานที่สมัครเข้ามาเท่านั้น
ดร.สุรพิชย์กล่าวเสริมว่า Candidate Portal เป็นเรื่องที่องค์กรต้องให้ความสำคัญควบคู่กับการเก็บข้อมูลที่ดี องค์กรต้องเก็บข้อมูลทั้งหมดเอาไว้ เพราะพนักงานบางคนที่ออกไปแล้ว ก็สามารถกลับมาในเวอร์ชั่นที่ดีกว่าเดิม องค์กรจึงต้องมี Alumni Management หรือควรนำ Generative AI มาเรียนรู้ข้อมูล และเอามาประยุตก์ใช้กับการสรรหาพนักงานได้เลย เพราะการสรรหาพนักงานในปัจจุบันมีอัตราเร่งมากกว่าเดิม เราต้องทำให้ขั้นตอน “สั้น เร็ว กระชับ” ซึ่งการใช้ปัญญาประดิษฐ์จะทำให้การเรียนรู้เอกสารไวขึ้น อ้างอิงจากสถิติการใช้ HR Tech จะเห็นว่า Generative AI ถูกใช้ด้านการสรรหาบุคลากรถึง 70-80 % เลยทีเดียว
คุณไมเคิล ยอว์ (Mikel Yaw) Group Managing Director จาก Elabram กล่าวว่าอนาคตของการสรรหาบุคลกรจะมีความท้าทายมาก เพราะเป็นยุคที่คนรุ่นใหม่กำลังก้าวขึ้นมาเรื่อย ๆ สอดคล้องกับเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดเช่นกัน องค์กรต้องตอบให้ได้ว่าเราจะหาพนักงานที่เก่งและตรงกับความต้องการขององค์กรจริง ๆ ได้อย่างไร อย่างที่ Elabram นั้น เมื่อมีการหาพนักงาน เราจะต้องทำความเข้าใจก่อนว่าพนักงานมีรูปแบบการทำงาน มีทัศนคติ มีวิธีการทำงานอย่างไร
เราต้องรู้ว่าผู้สมัครดังกล่าวมาจากไหน เช่น มาจากบริษัทคู่แข่ง, มาจากธุรกิจแบบเดียวกัน, มาจากธุรกิจที่แตกต่าง เราต้องพิจารณาว่าพวกเขามาสมัครที่เราเพราะอะไร นอกจากนี้ผู้สมัครในยุคนี้ “มีเล่ห์มีกลมากกว่าเดิม” ซึ่ง AI จะช่วยแก้ไขปัญหานี้โดยปราศจากอคติ แต่ใช่ว่าเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวจะแก้ปัญหาได้ เพราะสุดท้าย “การพิจารณาจากคน” ก็เป็นแง่มุมที่วิเคราะห์คนได้ทุกแง่มุมที่สุด เราควรมีขั้นตอนสัมภาษณ์งานหลายครั้งกว่าจะแน่ใจว่าคนที่กำลังรับมานั้นเป็นผู้สมัครที่ “เก่ง” จริง ๆ
สรุป #1 Roundtable: CHRO & HR Director Forum Discussion #2
คุณไมเคิล เผยสถิติที่น่าสนใจว่า สิ่งที่พนักงานสายไอทีซึ่งเป็นสายงานที่หาบุคลากรได้ยากที่สุดให้ความสำคัญ และจะช่วยให้พวกเขาตัดสินใจอยู่กับองค์กรต่อไป (Retention) ก็คือเรื่องของเงินค่าจ้างที่เหมาะสม (60%) รองลงมาคือการได้รับสัญญาระยะยาว (30%) และสภาพแวดล้อมของการทำงาน (10%) และสาเหตุที่ทำให้คนออกจากองค์กรก็คือการได้โอกาสใหม่ ๆ (50%) เหตุผลส่วนตัว (40%) และไม่พอใจกับสถานะของงานที่ทำอยู่ (10%)
ในที่นี้หากองค์กรต้องการรักษาพนักงานให้ได้ ต้องให้ความสำคัญกับ 6 องค์ประกอบ ได้แก่
- การให้ผลตอบแทนที่เหมาะสม
- การจัดสมดุลชีวิต
- ได้รับการสนับสนุนจากคนที่เป็นผู้นำ
- เห็นโอกาสในอาชีพการงาน
- สามารถสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ให้อิสระกับพนักงานและให้ความสำคัญเรื่องการมีส่วนร่วมของพนักงาน
ดร.สุรพิชย์ กล่าวว่าการสรรหาบุคลากรนั้น สิ่งที่ยากที่สุดก็คือ Candidate Sourcing โดยเฉพาะในองค์กรที่ได้รับ CV เข้ามาจำนวนมาก ดังนั้นหากเรามีเทคโนโลยีอย่าง Resume Parsing ที่ช่วยบริหารจัดการและบอกเราได้ว่าจากจำนวนผู้สมัครทั้งหมด มีผู้สมัครคนไหนบ้างที่ควรเข้าไปสัมภาษณ์ ซึ่งในปัจจุบันเทคโนโลยี Ai สามารถทำได้ทุกกระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบ (Job Publishing > Onboarding Process)
ตัวอย่างการใช้ AI สำหรับการสรรหาพนักงาน อ้างอิงจากข้อมูลของ HONO.AI ประกอบด้วย
- Machine Learning : การใช้อัลกอริธึมมาเรียนรู้ข้อมูลและคาดเดา (Prediction)
- Natural Language Processing : การทำให้เทคโนโลยีเข้าใจภาษาและการวิธีสื่อสารของมนุษย์
- Chatbots : การสื่อสารแบบอัตโนมัติบนแพลตฟอร์มที่ช่วยให้พิจารณาบุคลากรง่ายขึ้น ซึ่งแก้ปัญหาความ “เบื่อเมนู” คนสมัยใหม่ควรหาข้อมูลในรูปแบบเดียวกับการพูดคุยปกติได้เลย
- Computer Vision : การวิเคราะห์ข้อมูลผ่านระบบคอมพิวเตอร์ เช่นการสัมภาษณ์ออนไลน์ (Video Interviews)
นอกจากนี้เรายังได้ทราบว่าเนื้อหาที่คนถาม Chatbots มากที่สุดก็คือ
- เรื่องการลาออก
- การหาคำตอบว่าองค์กรมีสวัสดิการอื่นให้นอกเหนือจากเรื่องเงินหรือไม่ ? คำถามนี้คือสิ่งที่ตอกย้ำว่าองค์กรควรมี Rewards System ที่ต่างออกไป
คุณเมธวินจาก BASE Playhouse กล่าวเสริมว่า “เก่ง” ในมุมของ BASE คือเก่งคน และ เก่งงาน คือ คือต้องสร้างสรรค์ผลงานได้ดี และก็ต้องบริหารคนได้ดี มี Empathy, จัดการปัญหา (Conflict) ภายในทีมได้, มีความเป็นผู้นำ ฯลฯ และประเด็นสุดท้ายที่สำคัญมาก ๆ ก็คือ “พร้อมชน” (Character) ที่สามารถรับมือกับทุกสถานการณ์ เพราะในแต่ละวันมีความเปลี่ยนแปลงกับธุรกิจอย่างรวดเร็ว (Disruptive) เราจึงต้องการคนที่สามารถปรับตัวเข้าหาเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะหากไม่มีความสามารถตรงนี้ ก็จะไม่สามารถผลักดันองค์กรไปข้างหน้าได้อยู่ดี
คุณวรวัจน์ สุวคนธ์ จาก SCB เน้นย้ำว่าความท้าทายของการสรรหาบุคลากรในปัจจุบัน คือการหาคนที่มีความสามารถเชิงลึก (T-Shape) ซึ่งคนที่เราสรรหาเข้ามาควรมี Movement หรือมี Mobility ในองค์กร และการสรรหาพนักงานแต่ละครั้งควรเป็นคนที่สามารถก้าวไปเป็นผู้นำในอนาคต (Future Leader) ซึ่งสรุปกระบวนการสรรหาของ SCB ได้ว่าเริ่มต้นตั้งแต่การสร้างความสัมพันธ์กับองค์กร (School Relation) / การฝึกงาน (Internship) > การสร้างความสัมพันธ์กับมหาวิทยาลัย (University Relation) / เทศกาลจัดหางาน (Job Fair) > การให้ทุนการศึกษา (Undergrads Scholarship) > เมื่อมีการว่าจ้างแล้ว ก็จะมีกระบวนการพัฒนาทักษะอย่าง SCB Academy อยู่ตลอดเวลา เป็นต้น
คุณณัฐวุฒิ เกียรติไชยากร ปิดท้ายว่าเมื่อมีการทำ Corporate Brand แล้ว สิ่งนั้นต้องเอื้อประโยชน์มาให้กับ People Brand ดังนั้นองค์กรที่ดีควรมีแผนการสื่อสารร่วมกัน นอกจากนี้เราควรแบ่งการสื่อสารออกเป็นการสื่อสารภายนอก (External) ซึ่งจะช่วยให้เราดึงดูดคนเก่งเข้ามาได้ ทำให้คนรู้จักเรามากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องสื่อสารภายใน (Internal) เพื่อให้คนรู้ว่าองค์กรของเราอยู่ตรงไหนในท้องตลาด มีข้อดีข้อเสียอย่างไร มีคุณค่าอย่างไร ตอบโจทย์ชีวิตมนุษย์ได้อย่างไร อย่างกรณีของสยามพิวรรธน์จะเน้น Core Value ว่า
- #THE VISIONARY ICON
- #CREATIVE POWERHOUSE
- #MAKE THE IMPOSSIBLE POSSIBLE
- #EMPOWER THE LIMITLESS POSSIBILITY
- #FUTURE READY ORGANIZATION
การสรรหาบุคลากรที่ดี จึงเป็นการทำให้บริษัทของเราเป็น Top of Mind ที่คนอยากเข้าหาเสมอ ซึ่งจะทำได้ก็ต่อเมื่อเราให้ความสำคัญกับบุคลากรจริง ๆ พร้อมกับสรรหาเทคโนโลยีและกระบวนการทำงานที่ช่วยเหลือ HR ตลอดจนสร้างประสบการณ์ทำงานที่ดีให้กับทุกฝ่าย แค่นี้องค์กรของคุณก็จะพร้อมรับทุกความเปลี่ยนแปลง สรรหาคนที่เหมาะสมได้แน่นอน