ถ้าเราไปวัดความสามารถปลาจากการปีนต้นไม้หรือวัดความสามารถลิงจากการว่ายน้ำ มันก็คงจะไม่สมเหตุสมผลหรอกจริงไหม
คุณ Ray Dalio ผู้บริหารเฮดจ์ฟันด์ใหญ่สุดในโลกได้เล่าไว้ในหนังสือ Principles อันโด่งดังไว้ว่าบริษัทของเขา (Bridgewater) ให้ความสำคัญกับการคัดเลือกคนทำงานมาก โดยทีมงานได้พัฒนาบททดสอบที่เรียกว่า “Team Dimensions Profile” (TDP) ขึ้นมาเพื่อให้คัดเลือกคนที่มีบุคคลิกแตกต่างกันให้เข้ากับงานแต่ละตำแหน่ง ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 แบบดังที่จะเล่าต่อไปนี้
Creators vs. Refiners vs. Advancers vs. Executors vs. Flexors.
สไตล์การทำงาน 1.ผู้สรรสร้าง (Creators)
คนประเภทนี้เรียกได้ว่าเป็นพวกหัวครีเอทีพ มีไอเดียใหม่ๆ ในหัวตลอดเวลา ซึ่งหลายๆครั้งทีเดียวที่ไอเดียเหล่านั้นเป็นของใหม่ถอดด้ามที่ยังไม่มีคนอื่นคิดได้มาก่อน งานที่ดึงดูดคนกลุ่มนี้จะเป็นพวกงานสร้างสรรค์ไม่ไม่มีการกำหนดกรอบ เป็นงานที่ให้อิสระได้ทดลองทางความคิดต่างๆ ทำให้จุดแข็งของคนประเภทนี้คืองานที่เปิดโอกาสให้ได้คิดหาลู่ทางใหม่ๆ สร้างนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ ชิ้นงานที่ไม่มีการตัดสินว่าถูกหรือผิด การบริหารงานที่คนกลุ่มนี้สบายใจที่สุดคือการให้ความยืดหยุ่นและเปิดกว้างให้พวกเขาได้ทดลองทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่
สไตล์การทำงาน 2.ผู้ต่อยอด (Advancers)
การจะทำสิ่งใดให้สำเร็จแค่คิดนั้นยังไม่พอ แต่ต้องมีคนนำไอเดียนั้นไปต่อยอดให้เป็นชิ้นเป็นอัน ซึ่งในโลกธุรกิจนั้นเราไม่สามารถทำงานคนเดียวได้ถ้าอยากจะ Scale ขนาดของไอเดียที่อยู่ในหัวเป็นสิ่งที่จับต้องได้ในวงที่กว้างขวางมากขึ้น
.
ผู้ต่อยอดนี้เองที่เป็นคนที่จะมาทำหน้าที่เหล่านี้ พวกเขาเป็นคนที่มีพลังงานล้นเหลือ มีทักษะเรื่องคนดีเยี่ยม มีความสามารถที่จะโน้นน้าว จูงใจให้ทีมงานหลายๆ ฝ่ายเข้ามารวมหัวช่วยกันทำโปรเจกให้ลุล่วงออกมาจนเห็นผลลัพธ์ได้
สไตล์การทำงาน 3.ผู้สลักเสลาเกลาผลงาน (Refiners)
คนกลุ่มนี้ถ้ามองผิวเผินอาจจะถูกมองว่าเป็นคนช่างติ แต่อันที่จริงแล้วพวกเขาเป็นคนที่เหมาะกับตำแหน่งงานที่ต้องอาศัยการคิดวิเคราะห์ปัญหาเป็นอย่างมาก ถ้าให้งานซักชิ้นหนึ่งแก้พวกเขา คนกลุ่มนี้จะสามารถใช้พลังสมองในการวิเคราะห์ด้วยหลักการและเหตุผลออกมาเป็นข้อๆ ว่ามีจุดไหนที่ยังไม่เวิร์ค และจะต้องทำอะไรบ้างเพื่อพัฒนามันให้ดีขึ้น พวกเขาตัดสินใจด้วยการใช้ข้อมูลและหลักการที่เป็นเหตุเป็นผล จึงเป็นเรื่องดีอย่างมากที่จะใช้คนประเภทนี้ในการช่วยพัฒนาโปรเจกที่เริ่มต้นไปแล้วแต่ยังไม่สำเร็จเท่าที่ควรจะเป็น ในทางกลับกันถ้าทุกคนเป็นคนประเภทนี้ก็อาจจะทำให้โปรเจกใหม่ๆฝ่อไปเพราะถูกติตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
สไตล์การทำงาน 4.ผู้ลงมือทำ (Executors)
เมื่อมีคนคิด คนสื่อสาร คนปรับปรุง ไปแล้ว อีกหนึ่งคนสำคัญที่ขาดไม่ได้คือคนที่เก่งเรื่องการลงมือทำ แม้พวกเขาอาจไม่ได้คิดสร้างสรรค์เท่า Creators อาจไม่ได้จูงใจคนเก่งเท่า Advancers ไม่ได้วิเคราะห์เก่งเหมือน Refiners แต่พองานเริ่มลงตัว โปรเจกถูกตั้งขึ้นมา มาคนรับผิดชอบชัดเจน มีคนดูแลแก้ไขปัญหา คนที่เป็น Executors จะไม่พูดพรํ่าทำเพลงในการรีรอแต่อย่างใด คนกลุ่มนี้ยึดผลลัพธ์เป็นตัวตั้ง พวกเขาเชื่อว่าไอเดียที่ดีที่สุดที่ไม่ได้ลงมือทำก็ไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากนั้นพวกเขายังเก่งในเรื่องของการนำเป้าหมายที่ทีมตั้งไว้ไปลงมือทำ พวกเขาจัดลำดับความสำคัญในการทำงานได้ดีว่าอะไรควรรอก่อนอะไรควรทำทันที เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเนื้องานที่ได้ออกมาจะเรียบร้อย ละเอียด และสำเร็จ
สไตล์การทำงาน 5.ผู้สร้างผลกระทบ (Flexors)
คนแบบสุดท้ายแม้มีน้อยแต่ก็มีอยู่จริง คนกลุ่มนี้มีความสามารถในการปรับรูปแบบการทำงานของตัวเองให้สอดคล้องกับแต่ละช่วงเวลาโดยสามารถปรับการทำงานของตัวเองได้ทุกแบบใน 4 สไตล์การทำงานข้างต้น ซึ่งเป็นกลุ่มนี้เองที่กลายเป็นคนที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับผู้คนและสังคมได้เพราะมีศักยภาพที่จะคิดริเริ่ม หาคนร่วมทีม ลงมือทำ และวิเคราะห์ปัญหาในการทำงานได้จบครบในคนเดียว
ใช้คนให้ถูกกับงาน
.จะเห็นได้ว่าคนที่มีลักษณะการทำงานประเภทต่างๆ มีจุดแข็งและจุดอ่อนแตกต่างกันไปในแต่ละคน คำถามที่สำคัญไม่ใช่การคัดคนแบบไหนทิ้งไปในขั้นตอนการคัดเลือก แต่เป็นเราควรให้พวกเขาเข้ามาในขั้นตอนไหนในกระบวนการทำงาน เช่น Creators อาจจะเหมาะมากกับช่วงต้นของโปรเจก เพราะสามารถคิดไอเดียได้ฟุ้งอย่างมาก แต่ถ้าไม่มีการบริหารจัดการทีมที่ดี ก็อาจทำให้งานล่าช้าลงไปเพราะคนกลุ่มนี้สามารถแตกไอเดียออกไปได้เรื่อยๆ โดยไอเดียเหล่านั้นอาจไม่ได้ถูกเปลี่ยนมาเป็นการลงมือทำ จึงเป็นเรื่องดีที่จะมีคนที่เป็น Advancers เข้ามาช่วยส่งต่อไม้ให้กับทีมงานคนอื่นๆ และสุดท้ายจะต้องมีคนที่เป็น Executors ซึ่งเป็นนักลงมือทำตัวจริงที่จะช่วยให้งานเดินหน้าอย่างแท้จริง พอทำงานไปได้ซักพักเราก็ต้องตบท้ายด้วยการที่เราต้องมีระบบการนำ Feedback มาวิเคราะห์เพื่ออุดปัญหาหรือพัฒนาให้ตัวงานให้ดีขึ้นไปอีกโดยคนประเภท Refiners
