Search
Close this search box.

เพราะการกลั่นแกล้ง ไม่ใช่เรื่องตลก เปิดสถิติ “บูลลี่” ในที่ทำงานและแนวทางป้องกันสำหรับ HR

เพราะการกลั่นแกล้ง ไม่ใช่เรื่องตลก เปิดสถิติ “บูลลี่” ในที่ทำงานและแนวทางป้องกันสำหรับ HR

ในยุคที่การทำงานเป็นส่วนสำคัญของชีวิตประจำวัน การกลั่นแกล้งในที่ทำงานหรือที่เรียกว่า “บูลลี่” (Bully) กลับกลายเป็นปัญหาที่ไม่อาจมองข้ามได้ เพราะไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพจิตและประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานด้วย จากสถิติพบว่าปัญหาการบูลลี่ในที่ทำงานกลายเป็นปัจจัยแรก ๆ ที่ทำให้พนักงานหมดใจและหมดไฟในการทำงาน

เนื่องในสัปดาห์ Anti-Bullying ในวันที่ 11-15 พฤศจิกายนนี้ เราอยากชวนดูสถิติการบูลลี่ในที่ทำงานเพื่อหาแนวทางป้องกันและเพื่อสร้างความตระหนักรู้ หยุดส่งต่อความรุนแรง หันมาส่งต่อความใจดีและคำพูดเชิงบวกให้กำลังใจกันมากยิ่งขึ้นกันดีกว่า !

รู้หรือไม่ คนทำงานลาออกจากบริษัทเพราะประเด็นบูลลี่ถึง 23%

การบูลลี่ในที่ทำงานเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้คนทำงานเครียดจากการทำงาน งานวิจัยพบว่าคนทำงาน 8 ใน 10 คน มีประสบการณ์ Cyberbully ในที่ทำงาน และ 65% ของการบูลลี่ในที่ทำงานโดยไม่รู้ตัวเกิดขึ้นจากหัวหน้าหรือผู้จัดการ ส่วนประเภทของการบูลลี่ในที่ทำงานที่พบบ่อยที่สุดคือ บูลลี่ผ่านอีเมล 23.3% การนินทาจากเพื่อนร่วมงาน 20.2% และการบูลลี่ผ่านการตะคอก 17.8%

จากผลการสำรวจของสถาบัน Workplace Bullying Institute ทำการสำรวจพนักงานออฟฟิศในสหรัฐอเมริกา พบว่า 66% ของพนักงานรับรู้ว่ามีการบูลลี่ในที่ทำงาน 49% ของพนักงานตกอยู่ในสถานการณ์ถูกบูลลี่โดยตรงที่ทำงาน โดยประชากรกว่า 76.3 ล้านคนในอเมริกายอมรับว่าพวกเขาได้รับผลกระทบจากปัญหาการบูลลี่ในที่ทำงาน นอกจากนี้ การทำงานแบบ Remote work ก็มีแนวโน้มถูกบูลลี่มากกว่าถึง 43.2% เลยทีเดียว

เพราะการกลั่นแกล้ง ไม่ใช่เรื่องตลก เปิดสถิติ “บูลลี่” ในที่ทำงานและแนวทางป้องกันสำหรับ HR

สำหรับการทำงานทางไกล (Remote Working) พบว่าการบูลลี่ไม่ค่อยเกิดขึ้นมากถึง 41% เลยทีเดียว! แต่ก็อาจเกิดการบูลลี่ได้ในบางครั้งในสัดส่วน 35% เมื่อมีการประชุมออนไลน์แบบกลุ่ม และ 15% เมื่อมีการประชุมออนไลน์แบบตัวต่อตัว 6% ในอีเมลที่ส่งหาทุกคน และ 3% ในอีเมลที่ส่งแบบส่วนตัว

สัญญาณอันตรายจากออฟฟิศที่ไม่ Healthy

การกลั่นแกล้งในที่ทำงานไม่เคยเกิดผลดีกับใคร และอาจส่งผลกระทบต่อจิตใจกับผู้ถูกกระทำได้ในระยะยาว ปัญหานี้ส่งผลต่อบุคคล สังคม และองค์กร ไม่ว่าจะเป็นความโดดเดี่ยวและรู้สึกแปลกแยกไปจากสังคม ไปจนถึงการขาดความมุ่งมั่นและแรงจูงใจในการทำงานและการใช้ชีวิต

เพราะการกลั่นแกล้ง ไม่ใช่เรื่องตลก เปิดสถิติ “บูลลี่” ในที่ทำงานและแนวทางป้องกันสำหรับ HR

HR จะรับมือปัญหาการบูลลี่ในที่ทำงานได้อย่างไร? 

วัฒนธรรมองค์กรถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยป้องกันปัญหาการบูลลี่ในที่ทำงานได้ เพราะวัฒนธรรมองค์กรช่วยสร้างมาตรฐานและปรับพฤติกรรมของพนักงานในองค์กร อย่างไรก็ตามการจัดการของหัวหน้าหรือผู้นำองค์กรหรือ HR ก็สามารถช่วยลดปัญหาการบูลลี่หรือทำให้ความเข้าใจและมาตรฐานการทำงานดีขึ้นได้ด้วยเช่นกัน 

1. กำหนดคุณค่าและสร้างวัฒนธรรมการทำงานเชิงบวกในองค์กร

HR ควรเริ่มด้วยการกำหนดคุณค่าและมาตรฐานพฤติกรรมที่ชัดเจนในองค์กร โดยค่านิยมเหล่านี้ควรอยู่บนพื้นฐานของการเคารพซึ่งกันและกัน ส่งเสริมความหลากหลาย และการทำงานร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ มีกฎระเบียบที่ชัดเจนเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ยอมรับได้และไม่ยอมรับในที่ทำงาน เพราะเมื่อทุกคนในองค์กรเข้าใจและมีความชัดเจนเกี่ยวกับมาตรฐานเหล่านี้ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดพฤติกรรมบูลลี่

เช่น การทำให้พนักงานรู้สึกปลอดภัย มีอะไรสามารถพูดคุยได้อย่างตรงไปตรงมาโดยปราศจากการเมืองในที่ทำงาน ทำให้การสื่อสารเป็นเรื่องง่าย วัฒนธรรมองค์กรอาจเรียกได้ว่าคือหัวใจสำคัญที่จะช่วยลดปัญหาการบูลลี่ในที่ทำงาน หากพนักงานทุกคนเข้าใจ ให้ความสำคัญและเห็นถึงคุณค่าในเรื่องนี้ก็ย่อมส่งผลต่อบรรยากาศในการทำงานที่ดีขึ้น และสื่อสารกันง่ายขึ้นโดยไม่ต้องมีการบูลลี่ในที่ทำงาน

2. จัด Workshop เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการบูลลี่

หนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพในการให้ความรู้เกี่ยวกับการบูลลี่ในที่ทำงาน โดยสามารถเชิญผู้เชี่ยวชาญมาพูดคุยและให้ความรู้ รวมถึงการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับประเภทของการบูลลี่ สาเหตุที่เกิดขึ้น และผลกระทบของมันต่อผู้ถูกบูลลี่และบรรยากาศการทำงาน รวมถึงการสอนทักษะในการจัดการกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม การให้ความรู้จะทำให้พนักงานตระหนักถึงปัญหาและรู้จักวิธีการรับมือเมื่อต้องเผชิญกับการบูลลี่ได้ดียิ่งขึ้น

ประเภทของการบูลลี่ในที่ทำงานมีอะไรบ้าง?

  • การพูดที่ทำร้ายจิตใจซ้ำๆ หรือล้อเลียนในเพศวิถี อัตลักษณ์ทางเพศ เชื้อชาติหรือวัฒนธรรม การศึกษา ภูมิหลังทางเศรษฐกิจ
  • การล่วงละเมิดทางเพศ หรือ Sexual Harassment
  • การเมืองในที่ทำงาน หรือ “สงครามจิตวิทยา” ไม่ว่าจะเป็นการกดดันด้วยภาษาท่าทาง หรือจงใจทำให้อีกฝ่ายอึดอัดด้วยคำพูดหรือการกระทำ
  • การข่มขู่ ด้วยตำแหน่งที่ทำงาน ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกต่ำกว่า
  • การให้ทำงานอย่างไร้จุดหมาย (หรือทำงานในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานของคุณ) ให้ทำงานที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ บีบบังคับด้วยเวลาที่จำกัด
  • ให้ทำงานหรือทำในสิ่งที่น่าอับอายไม่เหมาะสม เพื่อจงใจทำให้คุณไม่เป็นที่ยอมรับ
  • จงใจเปลี่ยนชั่วโมงทำงานหรือตารางงานของคุณเพื่อทำให้ลำบากมากขึ้น
  • จงใจระงับหรือการปิดการเข้าถึงข้อมูลที่คุณต้องการเพื่อให้ยากต่อการทำงานให้เสร็จ
  • โจมตีหรือข่มขู่ด้วยอุปกรณ์ หรือวัตถุอื่นใดที่สามารถเปลี่ยนเป็นอาวุธได้

(อ้างอิง: Anti-Bullying week: เปิดสถิติ “บูลลี่” ในที่ทำงานและวิธีรับมือเมื่อตกเป็นเหยื่อบูลลี่)

3. ผู้นำองค์กรเป็นแบบอย่างสำหรับพฤติกรรมการทำงาน

ผู้นำในองค์กรมีบทบาทสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมที่ปลอดภัยจากการบูลลี่ การแสดงพฤติกรรมที่แสดงถึงการให้เกียรติและเคารพซึ่งกันและกันอย่างต่อเนื่องจากผู้นำองค์กร หรือหัวหน้าทีมจะช่วยกำหนดมาตรฐานให้กับพนักงาน ผู้นำควรมีความสามารถในการสื่อสารที่ดีและกระตือรือร้นที่จะสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและกระตุ้นให้พนักงานรู้สึกว่าพวกเขาสามารถพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาการบูลลี่ได้อย่างเปิดเผย

4. กำหนดนโยบายการทำงานเพื่อป้องกันการบูลลี่

HR ควรกำหนดนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการป้องกันการบูลลี่ในที่ทำงาน ซึ่งนโยบายนี้ควรรวมถึงความหมายของการบูลลี่ วิธีการรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขั้นตอนในการสอบสวน และการรับมือเมื่อเกิดการกลั่นแกล้งในที่ทำงาน 

นโยบายที่ชัดเจนยังต้องสื่อสารให้พนักงานทุกคนเข้าใจและเห็นพ้องต้องกัน เพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะไม่มีการยอมรับพฤติกรรมที่เป็นอันตรายในที่ทำงาน การกำหนดนโยบายที่ชัดเจนทำให้พนักงานเห็นว่าบริษัทมีความมุ่งมั่นในการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีและปลอดภัยสำหรับทุกคน

โดยนโยบายการทำงานในองค์กรควรประกอบไปด้วย:

  • จัดให้มีสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีและเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับพนักงาน
  • มาตรฐานพฤติกรรมที่คาดหวังจากพนักงานทุกคน รวมถึงตัวอย่างของสิ่งที่ถือว่าเป็นการบูลลี่และสิ่งที่ไม่ถือว่าเป็นการบูลลี่ในที่ทำงาน
  • ข้อความชี้แจงว่านโยบายนี้มีผลกับงานและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับงานอย่างไร
  • ให้คำจำกัดความและแบ่งประเภทของการบูลลี่ การกลั่นแกล้งในที่ทำงานให้พนักงานทุกคนเข้าใจตรงกัน
  • ให้ข้อมูลวิธีการและสถานที่ที่พนักงานสามารถรายงานข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการกลั่นแกล้งในที่ทำงานได้
  • พิจารณาข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการกลั่นแกล้งในที่ทำงานอย่างจริงจังและตอบสนองอย่างเป็นกลาง รวมถึงรักษาความลับเพื่อเคารพความเป็นส่วนตัวแก่พนักงาน
  • ชี้แจงถึงผลที่ตามมาและสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากไม่ปฏิบัติตามนโยบาย
  • วิธีที่นายจ้างจะตอบสนองต่อข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการกลั่นแกล้งในที่ทำงาน
  • วิธีการสอบสวนรายงานว่ามีการบูลลี่เกิดขึ้นในที่ทำงาน
  • แหล่งข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับพนักงานหากเกิดการบูลลี่ขึ้นในที่ทำงาน

อีกสิ่งที่สำคัญคือ หากพบเห็นการบูลลี่กันในที่ทำงาน ปลูกฝังให้พนักงานทุกคนเข้าใจว่าสิ่งที่ควรทำไม่ใช่การเพิกเฉย แต่ควรนำเรื่องราวไปแจ้งแก่หัวหน้าหรือผู้จัดการโดยตรง โดยอธิบายบอกตามข้อเท็จจริงเพื่อให้หัวหน้าพิจารณาและแนะนำแนวทางแก้ไขที่ถูกต้อง หรือแจ้งต่อ HR โดยหากมีรายละเอียดในลักษณะของการกลั่นแกล้งหรือการข่มขู่บังคับก็จะช่วยทำให้มีข้อเท็จจริงสำหรับการรายงานผลมากยิ่งขึ้น เช่น วัน เวลา สถานที่ สิ่งที่พูดหรือทำและในสถานการณ์นั้นมีใครอยู่ด้วยบ้าง

สรุป

การกลั่นแกล้งในที่ทำงานไม่เคยเกิดผลดีกับใคร และอาจส่งผลกระทบต่อจิตใจกับผู้ถูกกระทำได้ในระยะยาว ปัญหานี้ส่งผลต่อบุคคล สังคม และองค์กร ไม่ว่าจะเป็นความโดดเดี่ยวและรู้สึกแปลกแยกไปจากสังคม ไปจนถึงการขาดความมุ่งมั่นและแรงจูงใจในการทำงานและการใช้ชีวิต 

เพราะการบูลลี่ไม่ใช่เรื่องตลก แม้คนที่บูลลี่นั้นจะเป็นเจ้านายแต่เราทุกคนก็มีสิทธิ์ป้องกันตัวเองและเรียกร้องสิทธิ์ความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นได้ หากเรื่องนั้นเราไม่ได้รู้สึกสนุกหรือสร้างผลกระทบและความเสียหายทั้งทางใจและการทำงานของเรา การนำเรื่องไปแจ้งให้อีกฝ่ายที่อยู่ในตำแหน่งสูงกว่าหรือ HR เมื่อถูกบูลลี่ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะไม่ควรมีใครตกเป็นเหยื่อของการบูลลี่ไม่ว่าจากใครก็ตาม

ผู้เขียน

Picture of HREX.asia

HREX.asia

Connect People to the Best HR Solution เพื่อสนับสนุนการเติบโตขององค์กรผ่านผู้คน

บทความที่เกี่ยวข้อง