ข่าวดีเปิดปี 2568 เมื่อการบังคับใช้ พระราชบัญญัติสมรสเท่าเทียม (Marriage Equality Act) จะมีผลในวันที่ 23 มกราคม 2568 ถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียมทางเพศ ตามหลัก DEI (Diversity, Equity, and Inclusion) อย่างแท้จริง
สำหรับองค์กรธุรกิจในประเทศไทย จำเป็นอย่างมากที่ต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับกฎหมายใหม่เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างความเป็นธรรม แต่ยังเปิดโอกาสในการเสริมสร้างภาพลักษณ์องค์กรและขยายฐานลูกค้า ซึ่งไม่เพียงแค่ในประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการทำธุรกิจในระดับโลกด้วย
HREX จึงขอพาไปสำรวจแนวทางในการปรับปรุงนโยบายภายในองค์กร เพื่อรองรับ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ว่า องค์กรควรปรับปรุงแนวทางและนโยบายภายในให้สอดคล้องกับกฎหมายนี้อย่างไร ให้เกิดความเป็นธรรมในการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล และเสริมสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์องค์กร
Contents
แนวทางการเปลี่ยนองค์กรสู่ความเท่าเทียม เริ่มต้นที่การปรับปรุงนโยบายและสิทธิของพนักงาน
1. ยกระดับสิทธิและสวัสดิการสู่ความครอบคลุม
องค์กรควรปรับปรุงระเบียบภายในให้ครอบคลุมสิทธิของคู่สมรสทุกเพศตาม พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม โดยเฉพาะการเพิ่มสิทธิ์การลาเพื่อสมรส การลาเพื่อดูแลคู่สมรส และสิทธิ์ทางการแพทย์ให้แก่คู่สมรสเพศเดียวกัน เช่น การประกันสุขภาพและชีวิต รวมถึงสิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับบุตรบุญธรรมที่อยู่ในการปกครองของคู่รักเพศหลากหลาย
2. สร้างมาตรฐานการจ้างงานที่เป็นธรรม
การจ้างงานที่ดี ไม่ควรมีการเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของรสนิยมทางเพศ หรือสถานภาพสมรส ตาม มาตรา 15 ของ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และ มาตรา 17 ของ พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558
การระบุในเอกสารนโยบายพนักงานว่า บริษัทสนับสนุนความเท่าเทียมและยอมรับคู่สมรสทุกเพศอย่างเท่าเทียม จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับพนักงานและเสริมสร้างภาพลักษณ์ขององค์กรที่ให้ความสำคัญกับ DEI
ปฏิรูป HR ปฏิรูปองค์กรสู่ความหลากหลาย
1. เสริมพลังผู้นำผ่านการอบรม
การอบรมพนักงานเกี่ยวกับ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม และความสำคัญของ DEI จะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจและการรับรู้ในองค์กรเกี่ยวกับการยอมรับความหลากหลายทางเพศ โดยเฉพาะการอบรมผู้นำและผู้จัดการให้มีบทบาทในการส่งเสริมความเท่าเทียมในองค์กร
2. ปรับภาษาสู่ความครอบคลุม
องค์กรควรปรับปรุงแบบฟอร์มต่าง ๆ เช่น แบบฟอร์มสมัครงาน แบบประเมิน และแบบฟอร์มสวัสดิการ เพื่อรองรับคู่สมรสทุกเพศ เช่น การใช้คำว่า “คู่สมรส (Spouse)” แทน “สามี/ภรรยา” และอนุญาตให้พนักงานสามารถระบุสถานภาพสมรสและคู่สมรสตามกฎหมายได้
สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้างด้านความหลากหลาย
1. สื่อสารอย่างมีพลัง
องค์กรควรใช้ช่องทางการสื่อสารภายใน เช่น อีเมล จดหมายข่าว หรือการประชุมพนักงาน เพื่อประกาศสนับสนุน พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม และสร้างความมั่นใจให้พนักงานว่าพวกเขาจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมและยุติธรรม
2. แค่พูดไม่พอ แต่ต้องมีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อความเท่าเทียม
องค์กรสามารถสนับสนุนกิจกรรมหรือแคมเปญที่ส่งเสริมความหลากหลายทางเพศ เช่น การสนับสนุน Pride Month หรือการทำงานร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคม เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงานในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีในสังคม
มีกฎหมายแล้ว ก็ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
1. วางระบบตรวจสอบที่โปร่งใส
องค์กรต้องมีระบบตรวจสอบที่ชัดเจนและโปร่งใสในการปฏิบัติตาม พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม โดยการแต่งตั้งทีมงานหรือตัวแทนฝ่ายกฎหมายที่รับผิดชอบในการตรวจสอบและติดตามความคืบหน้าในด้านนี้
การจัดทำรายงานประจำปีเกี่ยวกับความปฏิบัติตามกฎหมายและความคืบหน้าของการสนับสนุนความเท่าเทียมในองค์กรจะช่วยให้การดำเนินการมีความชัดเจนและสามารถตรวจสอบได้ ซึ่งเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับทั้งพนักงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องว่าองค์กรมุ่งมั่นในการส่งเสริมความเท่าเทียมอย่างแท้จริง
2. สร้างช่องทางรับฟังเสียงสะท้อน
การสร้างช่องทางให้พนักงานสามารถแจ้งปัญหาหรือข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติได้อย่างปลอดภัยและโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในการรับประกันความเท่าเทียมในองค์กร ช่องทางเหล่านี้ควรได้รับการออกแบบเพื่อให้พนักงานรู้สึกปลอดภัยในการพูดคุยถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และมั่นใจว่าการร้องเรียนจะได้รับการพิจารณาอย่างเป็นธรรมและโปร่งใส
การมีช่องทางรับฟังเสียงสะท้อนยังช่วยให้องค์กรสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว และสร้างวัฒนธรรมที่เคารพในความแตกต่างและหลากหลาย โดยไม่ละเลยหรือปล่อยปัญหาความไม่เท่าเทียมให้ค้างคา
ทำไมธุรกิจควรให้ความสำคัญกับการปรับตัวตาม พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม (Marriage Equality Act) ?
การดำเนินการตาม พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ไม่เพียงแต่เป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ยังมีผลดีต่อธุรกิจในหลายมิติ ดังต่อไปนี้
- ความหลากหลายคือจุดเริ่มต้นของนวัตกรรม: ความหลากหลายทางความคิดสามารถผลักดันนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่จะสร้างความได้เปรียบในตลาด
- ดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีคุณค่า: พนักงานที่รู้สึกว่าพวกเขาได้รับการยอมรับในองค์กรมักจะมีความผูกพันและภักดีสูง
- เสริมสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่มีจริยธรรม: การสนับสนุนความเท่าเทียมช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่เป็นมิตรและมีจริยธรรม
- ขยายโอกาสในตลาด LGBTQIAN+: การตอบสนองความต้องการของกลุ่ม LGBTQIAN+ เปิดโอกาสในการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ
การปรับตัวขององค์กรให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ไม่เพียงแต่เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นการเสริมสร้างความยั่งยืนในด้านธุรกิจ สังคม และเศรษฐกิจในระยะยาว หากองค์กรของคุณต้องการเติบโตและขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงที่ดีในสังคม การดำเนินการตามกฎหมายนี้คือทางเลือกที่ชาญฉลาดและควรได้รับการดำเนินการอย่างเร่งด่วน
แล้วธุรกิจของคุณพร้อมที่จะเติบโตไปกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้หรือยัง ?
Sources: |