HIGHLIGHT
- Learn from the BEST Program เป็นหลักสูตรแรกของ Kincentric Thailand บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลระดับโลก ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับที่ปรึกษาด้านภาวะผู้นำและด้านทรัพยากรมนุษย์
- Learn from the BEST Program เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการเรียนรู้และศึกษารูปแบบในการดูแลพนักงานจากกลุ่มองค์กรสุดยอดนายจ้างดีเด่นแห่งประเทศไทยมากกว่า 10 องค์กร
- Learn from the BEST Program เป็นหลักสูตรระยะยาว 10 สัปดาห์สุดเข้มข้น ผ่านการพูดคุย เวิร์คช็อป และการศึกษาดูงานในสถานที่จริง เพื่อเตรียมผู้นำให้พร้อมสู่การขับเคลื่อนองค์กรต่อไป
ว่าการกันว่า การเรียนรู้ที่ดีที่สุด คือการเรียนรู้จากผู้ประสบการณ์โดยตรง เพื่อค้นหาแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) แล้วนำมาปรับใช้จริงตามบริบทของตัวเอง ทว่าการเข้าถึงผู้มีประสบการณ์โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูงนั้น ย่อมเป็นโอกาสที่หาได้ยาก
Kincentric Thailand บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลระดับโลก จึงเปิดโอกาสนั้นครั้งแรกผ่านโครงการ Learn from the BEST Program หลักสูตรเตรียมผู้นำให้พร้อมสู่การขับเคลื่อนองค์กร ร่วมกับพาร์ทเนอร์องค์กรแนวหน้าระดับ Best Employers Thailand กว่า 10 องค์กร ที่จะมาแชร์แนวคิด เคล็ดไม่ลับ และเผยกลยุทธ์ในการดูแลบุคลากร
Kincentric Thailand คือใคร ?
ทำไมถึงสร้างสรรค์โครงการ Learn from the BEST Program ออกมา ?
แล้วทำไม HR และผู้บริหารถึงควรเข้ามาเรียนหลักสูตรนี้ ?
หาคำตอบได้กับคุณ ชัชพล ยังวิริยะกุล Director จาก Kincentric Thailand และ คุณ ไดน่า – มนนิการ์ ซิงห์ ที่ปรึกษา อาจารย์และที่ปรึกษาองค์กรชั้นนำ – สอง Program Director ผู้สร้างสรรค์หลักสูตรนี้กัน
หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อ Kincentric มาบ้าง แต่อยากให้แนะนำ Kincentric อีกสักครั้งว่าคืออะไร ให้บริการหลัก ๆ อะไรบ้าง ?
ชัชพล: Kincentric เป็นชื่อใหม่ครับ เราก่อตั้งขึ้นมาในปี 2019 ซึ่งก่อนหน้านี้หลายคนอาจคุ้นเคยกับชื่อเดิมของเราซึ่งคือ Aon โดยเป็นการ Spin off พาร์ทของ HR Consulting ออกมาอยู่ ภายใต้บริษัทแม่ Spencer Stuart ทำให้เราเป็น Global HR Consulting Firm ตั้งแต่วันแรกที่ก่อตั้งเลยครับ
ส่วนบริการของ Kincentric นั้น เราช่วยลูกค้าแบบ End to End หลัก ๆ จะมีอยู่ 4 Practices คือ
หนึ่ง – Leadership Assessment & Development เรามีเครื่องมือในการประเมินผู้บริหาร เพื่อดูว่าเขามีความพร้อมหรือความเหมาะต่อการเป็น Successor หรือไม่ ? และมีเครื่องมือหลาย ๆ อย่างในการประเมินความพร้อมของผู้นำองค์กรในปัจจุบัน
สอง – Culture & Engagement ในเมืองไทยจะคุ้นเคยกับการทำ Employee Engagement Survey ซึ่งเราเป็นผู้นำด้านนี้แทบจะในทุกอุตสาหกรรมของไทย เพราะเรามีฐานข้อมูล Benchmark Data ในระดับประเทศ ระดับRegional และระดับ Global ครับ นอกจากนี้เรายังมองภาพกว้างไปถึงเรื่อง Employee Experience และ Culture องค์กรอีกด้วย
สาม – HR & Talent Advisory โดยเราเป็นพาร์ทเนอร์กับ HR Director ที่ช่วยตั้งแต่การออกแบบโครงสร้างขององค์กรที่เหมาะสมและตอบโจทย์ธุรกิจ การทำ Workforce Planning หรือการขยายองค์กรเพื่อสร้าง New S Curve ไปจนถึงการทำ Transformation องค์กรด้วย
สี่ – DE&I Diversity Equity & Inclusion เป็นบริการล่าสุดของทาง Kincentric ซึ่งประเด็น DE&I ในไทยจะแตกต่างจากโซนยุโรปที่เป็นเรื่องเชื้อชาติหรือเพศ แต่บ้านเราจะเป็นเรื่อง Generation Inclusive การรับฟังคนต่างรุ่นกัน ฉะนั้นพาร์ทที่สำคัญจริง ๆ ของคนไทยคือ Inclusion โดยเรามีตั้งแต่การ Training ไปจนถึงการวัดและการพัฒนา เพื่อให้แน่ใจว่าองค์กรของคุณใช้ความหลากหลายให้เป็นประโยชน์ชัดเจน
นอกจากนี้เรายังมี Kincentric Insights Zone ในเว็บไซต์ของเรา เนื่องจากเราเป็น Global HR Consulting เราจึงมี Thought Leader เก่ง ๆ ระดับโลกมาให้ความรู้ในรูปแบบบทความ เพื่อให้คนทั่วไปได้อ่านงานวิจัยของเรา ทั้งเรื่อง Engagement, Diversity Equity & Inclusion และอื่น ๆ เบื้องต้นเราทำเป็นภาษาอังกฤษเป็นหลัก แต่หลัง ๆ ก็เริ่มแตกเป็นภาษาอื่นเพิ่มเติม ล่าสุดเรามี Insight Zone เป็นภาษาไทยแล้วครับ เราแปลบทความของ Global เป็นภาษาไทยเลย อ่านฟรีด้วย ! เป็นสิ่งที่เราอยากแชร์กับทุกคนเพื่ออ่านอัพเดตเทรนด์หรือข้อมูลต่าง ๆ ระดับโลก
Kincentric คุ้นเค้ยกับบริบทผู้นำไทยมานานกับรางวัล Best Employers Thailand Awards ซึ่งจัดมานานกว่า 20 ปี ทำไมถึงเพิ่งจัด Learn from the BEST Program ในปีนี้เป็นปีแรก ?
ชัชพล: ตัวโปรแกรมนี้ไม่ได้เกิดเพราะในตลาดมีโปรแกรมแล้วเราทำตาม แต่เกิดจากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาในงานประกาศรางวัล Best Employers Thailand Awards ช่วงเช้าเราประกาศรางวัล แล้วช่วงบ่ายเรามี Learning Conference ให้ผู้นำองค์กรที่ได้รับรางวัลมาแชร์ประสบการณ์ และเราได้รับฟีคแบคมาว่า “เวลามันสั้นเกินไป ฟังแล้วไม่อิ่ม” (หัวเราะ) เพราะเรามีผู้ได้รับรางวัลกว่า 10 องค์กรต่อปี และองค์กรหนึ่งมีเวลาพูดเพียง 15 นาทีเท่านั้น ซึ่งแต่ละคนมีเรื่องราวที่อยากเล่ามากมาย แถมทุกคนตัวท็อปของวงการ คนเลยถามเป็นเสียงเดียวกันว่า “จะมีโอกาสได้ฟังเต็ม ๆ ไหม ?” จากนั้นเราจึงไปคุยกับองค์กร Best Employer ต่าง ๆ ซึ่งพวกเขาก็ยินดีที่จะมาแชร์ประสบการณ์เหมือนกัน เพราะกว่าจะได้รางวัลของเรามันเรื่องราวเบื้องหลังมากมาย
ประกอบกับหลังสถานการณ์ Covid-19 ดีขึ้น เราจึงคิดทำโปรแกรมที่ให้ทุกคนมาเจอกันมากกว่าแค่โปรแกรมออนไลน์ ที่สำคัญคือสิ่งที่ผู้บริหารมาพูดต้องไม่ใช่เนื้อหาที่หาได้จากอินเทอร์เน็ต และเราอยากสร้างโปรแกรมที่ไม่ใช่แค่นั่งฟังอย่างเดียว แต่ต้องมีปฏิสัมพันธ์ (Interact) ถาม-ตอบกันให้เคลียร์ แล้วสามารถนำไปพัฒนาตัวเองได้จริง
นอกจากนี้ยังมีการ Site Visit เพื่อดูงานจริง มี Mentor Program โดย Mentor แต่ละคนเป็นผู้บริหารและเป็น Guest Speaker ของโครงการนี้ และจะมี Special Guest Speaker ที่จะมาให้แรงบันดาลใจด้วย ทำให้โปรแกรมนี้มีความแตกต่างและเชื่อว่าจะครบเครื่องแน่นอน
คุณไดน่าเข้ามาร่วมสร้างสรรค์ Learn from the BEST Program ได้อย่างไร และร่วมออกแบบหลักสูตรนี้ให้แตกต่างจากหลักสูตรอื่นอย่างไรบ้าง ?
ไดน่า: คุณ นภัส ศิริวรางกูร (อีกหนึ่ง Program Director) เป็นคนชวนค่ะ จากประสบการณ์ไดน่าที่ได้ร่วมทำหลักสูตร FBI หลักสูตรบ่มเพาะผู้ประกอบการธุรกิจอาหาร (Food Business Incubator) มันสนุก แตกต่าง และประสบความสำเร็จดี ซึ่งไดน่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังอีกหลาย ๆ หลักสูตรมากมายที่ผสานระหว่างวิชาการ (Academic) กับความสนุก (Entertainment) เสมอ
ไดน่าเชื่อว่าที่ผ่านมาเรา Learning by not doing เยอะมาก แต่การเรียนรู้ที่ดีไม่ได้เกิดจากการนั่งเรียนเท่านั้น มันต้องมาจาก Collaboration Partnership เช่น การนั่งดื่มด้วยกัน (หัวเราะ) เผลอ ๆ การเรียนรู้จากหลักสูตรนี้อาจไม่ได้มาจาก Guest Speaker เท่านั้น แต่เกิดจากผู้เรียนด้วยกันเองที่ซึมซับทัศนคติซึ่งกันและกัน – Speaker เฉียบที่สุดที่พูดแล้วเปลี่ยนเราได้อาจคือเพื่อนรอบข้างเรานะ
แต่แน่นอนว่า Guest Speaker ที่มาร่วมเป็นเบอร์ใหญ่ไม่แพ้กันค่ะ เรานำองค์ความรู้และประสบการณ์จาก Best Employer มาเล่าให้ฟัง หาไม่ได้จากอินเทอร์เน็ตแน่นอน ทำให้คนที่เรียนก็สามารถเป็น the Best ในเวอร์ชั่นของตัวเอง
ฉะนั้นมันจึงเป็นการเจอกันตรงกลางระหว่าง Guest Speaker และคนที่มาเรียน เป็น Learning Ecosystem ที่เราออกแบบมา นอกจากนี้ยังมี Surprise Guest อีกมากมาย มีกิจกรรมสนุก ๆ เช่น การเรียนรู้ Wine Pairing, การพักผ่อน Relax ในรูปแบบต่าง ๆ เพราะคนเราจะเรียนรู้ได้ดีเมื่อเรารู้สึกผ่อนคลาย เราจะแอบสอดแทรกความรู้ต่าง ๆ เข้าไป ทำให้เราซึมซับโดยที่เราไม่รู้ตัว เป็นการสร้าง Ecosystem เพื่อให้คนคนหนึ่งสมบูรณ์แบบมากกว่าค่ะ ซึ่งครั้งนี้จะเป็นหลักสูตรแรก และจะมีต่อไปเรื่อย ๆ แน่นอน
เมื่อกลุ่มผู้มาเรียนเป็นอีกหนึ่ง Ecosystem ที่สำคัญ คุณคนมองกลุ่มผู้มาเรียน Learn from the BEST Program คือใคร ?
ชัชพล: กลุ่มแรกคือกลุ่ม HR น่าจะตรงที่สุด เพราะองค์กรที่อยากพัฒนาการดูแลพนักงาน อยากเป็น Best Employer ต้องให้ HR มาเรียนครับ แต่หลักสูตรของเราไม่ได้ตอบโจทย์เฉพาะ HR อย่างเดียวนะ ยังตอบโจทย์คนที่จะสร้างผลกระทบให้องค์กรได้มากที่สุด นั่นคือเบอร์ 1 ขององค์กรอย่าง CEO หรือ MD เพราะว่าคนกลุ่มนี้สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริง
นั่นเป็นสาเหตุว่า Learn from the BEST Program ไม่ได้มีไว้สำหรับ HR อย่างเดียว แต่เป็นโปรแกรมสำหรับ People Leader เบอร์หนึ่ง, คนที่เป็นผู้บริหาร, คนที่มีทีมอยู่ภายใต้บังคับบัญชา ผมว่าหลาย ๆ องค์กรสามารถจะส่ง Talent Development มาร่วมโปรแกรมนี้ยังได้เลย โปรแกรมนี้จะช่วยเปิดโลกว่า CEO ขององค์กรต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับการดูแลและการพัฒนาอย่างไร
นอกเหนือจาก Corporate แล้ว คนที่เป็นเจ้าของ Startup และ SMEs ก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้ประโยชน์ เขาจะได้เห็น Best Practice ขององค์กรขนาดใหญ่ ๆ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับองค์กรขนาดเล็กได้โดยไม่จำเป็นต้องจ้างที่ปรึกษาเลย
ที่สำคัญคือการได้สร้างความสัมพันธ์ (Relationship) กับคนที่มาเรียนด้วยกันเอง ได้เจอเพื่อน ๆ ที่อยากพัฒนาตัวเอง พัฒนาองค์กรจากหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งพาร์ทนี้เป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนอนาคต
ไดน่า: ถ้าในมุมมอง Corporate ค่อนข้างเห็นด้วยกับคุณชัชว่าเป็น Decision Maker แต่สำหรับไดน่ามองไปถึงผู้บริหาร/ทายาท Second Generation หรือ Third Generation ด้วย เพราะบางทีเขายังต้องทำงานกับพ่อแม่หรือผู้ที่สร้างองค์กรมา ซึ่งเราจะยังเป็นเด็กในสายตาพวกเขาเสมอ
หลายครั้งที่เวลามีปัญหา เราอาจไม่สามารถคุยกับพ่อแม่ได้ แต่เราสามารถคุยกับคนในหลักสูตรนี้ได้นะ มาแลกเปลี่ยนวิธีการและปรึกษากัน อย่างที่คุณชัชบอกว่า Sizing ไม่ได้สำคัญเท่ากับ Efficiency แล้ว ปลาใหญ่เสียเงินเยอะเสมอ แต่ปลาเล็กซอกแซกเก่งมาก ฉะนั้น Big Corporate ก็อาจมาเรียนรู้จาก Small People ได้ เรามาแลก Tools, Knowledge หรือ Resource กันดีกว่าค่ะ
จริง ๆ มี Guest Speaker บางท่านบอกว่า “พูดเสร็จขอมาเรียนด้วยได้ไหม ?” (หัวเราะ) เพราะการเป็น Best Employer เขาต้องเรียนรู้ด้วยเช่นกัน เขาจะต้องรักษาตำแหน่งตัวเองให้ดี เรียนรู้ว่าโลกไปถึงไหนแล้ว เผลอ ๆ ความสัมพันธ์จากหลักสูตรนี้อาจสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาด้วย เช่น การได้เจอพาร์ทเนอร์ใหม่ ๆ สองบริษัทอาจมาจอยหลักคิดเพื่อ Minimize และ Maximize บางอย่างด้วยกันค่ะ
การเข้ามาร่วม Learn from the BEST Program ผู้เรียนจะได้เรียนรู้อะไรบ้าง ?
ไดน่า: หลัก ๆ คือ Know How เกี่ยวกับบริหารจัดการค่ะ เช่น ถ้าต้องการ Reform ทุกอย่างจะต้องมี Structure อะไรบ้าง ? เพราะหลักสูตรแต่ละวันจะเริ่มต้นด้วย CEO แล้วต่อด้วย CPO แปลว่าเราจะเห็นทุกอย่างเป็น Bird Eye View ก่อน แล้วเจาะเฉพาะถึงการบริหารจัดการคน เรียกได้ว่าเห็นระบบบริหารทั้งระบบจริง ๆ
รวมถึงมีการ Workshop จากสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนกลับไปลองใช้เองและนำกลับมาพูดคุยกับ Guest Speaker สิ่งเหล่านี้จะสร้างเครือข่าย (Network) เพื่อสร้าง Ecosystem ที่ใหญ่และสมบูรณ์มากขึ้น อันนี้คือ Core Idea ของโปรแกรมนี้เลย
ผู้เรียนโปรแกรมนี้จะไม่อยู่นิ่งแน่นอนค่ะ ไม่ได้เรียนอยู่โรงแรมแบบน่าเบื่อ ไม่ค่ะ ! เราจะขยับการเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ไปแต่ละองค์กรและหลากหลายอุตสาหกรรม
ชัชพล: ตอนออกแบบโปรแกรม เราคิดถึงการ Transform ว่า การเปลี่ยนแปลงให้เป็น Best Employer จะมี 4 เรื่องหลัก ๆ คือ Leadership Transformation, People Transformation, Culture Transformation และภาพใหญ่เชิงโครงสร้าง Organization Transformation ว่าทั้ง 4 อย่างนี้มันเชื่อมโยงและสอดคล้องกันอย่างไร ?
หากสรุปโดยรวมก็จะได้ความรู้แน่นอน ได้สร้างสัมพันธ์กับผู้เรียนและ Speaker ต่าง ๆ ที่เป็นเบอร์หนึ่งขององค์กร รวมไปถึงได้รู้จักเครื่องมือของ Kincentric ว่าปัญหาต่าง ๆ ที่เราเจอจะมีวิธีการประเมิน วัดปัญหา และแก้ไขมันอย่างไร ?
อีกหนึ่งความโดดเด่นของ Learn from the BEST Program คือการได้ Site Visit องค์กรต่าง ๆ ด้วย คุณคิดว่าการเรียนรู้ผ่าน Site Visit สำคัญอย่างไร ?
ชัชพล: สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นครับ การได้นั่งดูนั่งฟังก็เรียนรู้ได้ระดับหนึ่งนะ แต่การเดินเข้าไปในบริษัทเขา เข้าไปในพื้นที่ของเขา เราจะเห็นเลยว่าบรรยากาศ (Vibe) และพลังงาน (Energy) ขององค์กรว่าเป็นอย่างไร ? สิ่งเหล่านี้มันหลอกกันไม่ได้ ถ้าคุณบอกว่าคุณดูแลพนักงานดี แต่บรรยากาศการทำงานไม่ดีมันก็จะสะท้อนออกมาผู้คน ผมอยากให้ทุกคนที่เรียนเข้าไปสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้เอง ได้เห็นบรรยากาศจริง นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เราต้องมี Site Visit ด้วย
ไดน่า: อย่างแรกเราจะรู้ Vibe องค์กรนั้น ๆ ชัดเจน ถ้าเราอยากได้ Vibe แบบไหน เราต้องเข้าไปหาสิ่งที่มันใช่สำหรับเรา เข้าไป Get Feel นั้นจริง ๆ แล้วนำมาปรับใช้หรือตั้งเป้าหมายองค์กรเราต่อไป
ไดน่าคิดว่าไม่มีหลักสูตรไหนที่ Site Visit ได้ลึกเท่าของเรา เราเจาะตั้งแต่ภาพใหญ่กลาง เล็ก แล้วจบด้วยกินข้าวในพื้นที่ของเขาด้วย เพื่อได้สังเกตองค์กรแบบครบองค์ประกอบ สิ่้งเหล่านี้มันต้องเห็น ฟัง รู้สึก สัมผัส แล้วนำไปทำตาม นี่จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้องค์กรของเราขยับเร็วขึ้นด้วยค่ะ
ทำไม HR และผู้บริหารถึงควรมาเรียน Learn from the BEST Program ?
ชัชพล: ทีมงานทุกคนตั้งใจทำโปรแกรมนี้มาก ๆ เราไม่ใช่ทำเพราะอยากขาย Training Course แต่เรามองภาพใหญ่กว่านั้น เราอยากเห็นสังคมที่ดีขึ้น เหมือนที่เราอยากเห็นคนไทยมีความสุขในการทำงาน ฉะนั้น Learn from the BEST Program เป็นเพียงจิ๊กซอว์ตัวหนึ่งเท่านั้น
คนที่มาเรียนต้องได้มากกว่าที่เขาคิดครับ เพราะระยะเวลา 10 สัปดาห์เป็นเวลาที่มีค่ามาก ๆ เราต้องทำให้ผู้เรียนรู้สึกว่าคุ้มค่ามากที่สุด ซึ่งคุณจะไม่สามารถหาทางได้พบหรือได้ฟังผู้บริหารจากองค์กรระดับนี้ด้วยตัวเอง ผมก็เลยไม่อยากให้ใครพลาดโอกาสนี้ เพราะเราเชื่อว่ามันจะเป็นจุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนแปลงขององค์กรจริง ๆ
ไดน่า: แน่นอนเวลาของทุกคนมีค่ามาก ๆ ทุกคนเครียดกับงานมาเยอะแล้ว ลองมา Learning by Relaxing ดูค่ะ เรียนรู้แบบผ่อนคลาย พอเราอยู่กับคนที่เราไว้ใจมันจะเป็น Good Ecosystem เราจะได้เรียนรู้อะไรมากมาย ทุกคนจะมีความสุขกับการเจอเพื่อนที่ดี พาร์ทเนอร์ที่ใช่ ทุกอย่างเราทำเพื่อผู้เรียนทุกคน เราอยากให้มีความสุขตั้งแต่เข้ามาเรียนจนกระทั่งจบออกไป และสามารถเป็น Role Model ที่ดีกับใครอีกหลาย ๆ คน
ถ้าพูดถึงเรื่องความคุ้ม Kincentric ทำคุ้มแน่นอน ! เวลาที่เขามาเรียนจะไม่มีความรู้สึกเสียดายเลยค่ะ ที่สำคัญมากกว่านั้น คือความเป็นเพื่อนที่ทุกคนจะมีต่อกัน เราคิดไว้แล้วว่าจะเติบโตไปด้วยกัน ทุกคนจะได้ประโยชน์ 300% เลย ! เกินคาดอยู่แล้วค่ะ การร่วม Learn from the BEST Program จะเป็นประสบการณ์ที่ทุกคนจะลืมไม่ลงแน่นอน (ยิ้ม)
ขอบคุณสถานที่ : JustCo at Amarin Tower
ร่วมเปิดประสบการณ์การเรียนรู้ Best Practice จาก CEO และ C-Suite อย่างเข้มข้นแบบที่หายากตลอด 10 สัปดาห์ รับฟังเคล็ดไม่ลับในการผลักดันทรัพยากรบุคคลอย่างจริงจัง ผ่านการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เวิร์คช็อป และศึกษาดูงานสุดพิเศษ
ระยะเวลาเรียน : 2 มิถุนายน – 11 สิงหาคม 2566 (ทุกวันศุกร์ เวลา 13:00-17:00 น.)
สถานที่เรียน : โรงแรม U Sathorn Bangkok
ค่าอบรมตลอดหลักสูตร รวมศึกษาดูงานในประเทศ 2 วัน 1 คืนแล้ว
ราคา Early Bird 180,000 บาท (สมัครและชำระเงินภายใน 30 เมษายน 2566)
ราคา Regular 200,000 บาท
สมัครเลย! https://forms.gle/7HfDQoA1pTZRJaRZ6