HIGHLIGHT
|
ผู้นำและคนเก่งๆ ระดับโลกเหล่านี้ พวกเขามีอะไรที่เหมือนกัน?
- Albert Einstein นักฟิสิกส์อัจฉริยะที่มีชื่อเสียงก้องโลก
- Thomas Edison เจ้าพ่อนักประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ค้นคว้าหลอดไฟฟ้า
- Leonardo da Vinci จิตรกรเอกของโลก
- Wolfgang Amadeus Mozart คีตกวีเพลงคลาสสิกก้องโลก
- George Washington ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา
- Lee Kuan Yew อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้นำที่เปลี่ยนสิงค์โปร์ให้เจริญในช่วง 1 อายุคน
- Steve Jobs ผู้ก่อตั้ง Apple อัจฉริยะเปลี่ยนโลก
- Richard Branson ผู้ก่อตั้ง Virgin Group นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและหนึ่งในมหาเศรษฐีของโลก
พวกเขาเหล่านี้ล้วนมาจากคน “อ่านไม่ออก เขียนไม่เป็น” และเคยถูกตราหน้าว่าเป็น “เด็กโง่”
ภาวะนี้เรียกว่า “ดิสเล็กเซีย” (Dyslexia)
คนไทยส่วนใหญ่รวมถึงดิฉันเองไม่ค่อยรู้จัก Dyslexia จนเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ดิฉันได้มีโอกาสคุยกับนักจิตวิทยาชาวฮอนแลนด์ท่านหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้
สิ่งที่น่าตกใจคือ คนทั่วโลกมากถึง 1 ใน 5 คน เป็น Dyslexia !
สำหรับในประเทศไทย พบว่า เด็กไทยที่อ่านหนังสือไม่ออกมีมากถึง 4 แสนราย !
Dyslexia ไม่ใช่โรค ดิฉันเองก็ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ หากท่านใดสงสัยว่าลูกหลานมีภาวะนี้หรือไม่ ควรไปหาข้อมูลเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม แต่ถ้าจะเล่าสู่กันฟังแบบง่าย ๆ ตามความเข้าใจคือ เด็กกลุ่มนี้หากมองเผิน ๆ เขาก็ดูปกติ มีความสามารถด้านอื่นหรือไอคิวเป็นปกติ ใช้ชีวิตได้ปกติ
แต่หากตั้งใจสังเกตจะพบความบกพร่องทางการเรียนรู้ภาษา โดยเด็กจะมีความยากลำบากในการอ่านคำได้ถูกต้องแม่นยำ อ่านช้ากว่าเด็กวัยเดียวกัน อ่านตะกุกตะกัก สับสนในการประสมคำ อ่านข้ามคำ อ่านแบบเดาคำ เนื่องจากสมองของคนที่เป็น Dyslexia ทำงานแตกต่างจากคนทั่วไป
กลับมามองมาตรฐานการศึกษาในสังคมที่เราอยู่ทุกวันนี้ มันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับคนกลุ่มนี้เลย เด็กพบความท้าทายจากการตัดสินความเก่งด้วยระบบสอบข้อเขียนตามกำหนดเวลา ผู้ปกครองหรือครูที่ไม่เข้าใจมักมองว่าเด็กเป็น “เด็กโง่” “สอนทำเท่าไหร่ก็ไม่จำ” สุดท้ายเด็กเติบโตมากลายเป็นเด็กที่ไม่มั่นใจ เพราะถูกสังคมตัดสินว่าไม่ฉลาดเท่าคนอื่น
จากการสำรวจพนักงานกว่า 1,000 คนที่เป็น Dyslexia พบว่า 3 ใน 4 คน (75%) กล่าวว่าพวกเขาแอบซ่อนความบกพร่องในการอ่านจากนายจ้าง เพราะความกลัวที่เกิดจากประสบการณ์เลวร้ายในระบบโรงเรียนตั้งแต่เด็ก
อย่างไรก็ดี การศึกษาล่าสุดพบว่าคนที่เป็น Dyslexia สามารถมองเห็นรูปแบบที่ผู้อื่นทำไม่ได้ และทักษะของพวกเขาเป็นสิ่งที่มีค่ามากสำหรับองค์กรและโลกอนาคต
- สร้างนวัตกรรมชิ้นใหม่เอี่ยมให้โลก ด้วยทักษะจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ คนกลุ่มนี้จะถนัดในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ในรูปแบบใหม่ทั้งหมด แน่นอนที่สุด Innovation and Creative Thinking คือทักษะที่วันนี้ทุกองค์กร
- เป็นผู้นำที่สร้างแรงบันดาลใจ ด้วยจุดแข็งด้านการสื่อสารและสร้างสัมพันธ์ระหว่างบุคคล คนกลุ่มนี้จะเก่งในการเห็นอกเห็นใจ เจรจาต่อรอง และโน้มน้าวคนด้วยการใช้คำพูด ทักษะเหล่านี้ช่วยสร้างผู้นำที่ยอดเยี่ยมที่สามารถสร้าง สนับสนุน และส่งเสริมคน ทีม และองค์กรที่แข็งแกร่ง
- เห็นโอกาสที่คนอื่นไม่เห็น ด้วยทักษะการให้เหตุผล การแสดงภาพ และการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ คนกลุ่มนี้สามารถประมวลผลภาพใหญ่ มีความสามารถพิเศษในการเชื่อมโยงข้อมูลที่ซับซ้อนเพื่อแก้ปัญหา พวกเขาเห็นโอกาสที่คนอื่นไม่เห็น
ล่าสุดในเดือนเมษายน 2022 LinkedIn ได้เพิ่มการคิดแบบ Dyslexic เป็นทักษะที่เป็นที่ต้องการสำหรับอนาคต ภายในหนึ่งสัปดาห์ มีคนมากกว่า 10,000 คนอัพเดททักษะนี้ลงในโปรไฟล์ LinkedIn ของพวกเขา
ตัวเลข 1 ใน 5 ของประชากรทั่วโลกถือเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลย สำหรับเด็กไทยที่อ่านหนังสือไม่ออกนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย และน่าเสียใจ ถ้าไม่มีใครในสังคมเข้าใจสาเหตุ แม้แต่ผู้ปกครองก็หลีกเลี่ยงการพาไปพบผู้เชี่ยวชาญเพียงเพราะกลัวว่าลูกจะถูกวินิจฉัยว่ามีความบกพร่อง จนช่วยเหลือและสนับสนุนไม่ทัน
หากดูจุดแข็งของพวกเขาที่เป็นทักษะแห่งอนาคตแล้ว ตัวเลขนี้น่าจะเป็น urgency สำหรับผู้ปกครอง วงการศึกษาและองค์กรไทยในการปรับกระบวนการสรรหา สร้างสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนให้คนกลุ่มนี้ได้ใช้ความแตกต่างอันเป็นจุดแข็งเพื่อสร้างความโดดเด่นในทีมงาน องค์กรและประเทศชาติในอนาคต
บทความโดย
Dr. Sutisophan Chuaywongyart
CEO and Partner at Slingshot Group