HIGHLIGHT
|
ปัญหาของการเรียนรู้ในปัจจุบันคือเรามีความรู้อยู่เต็มไปหมดไม่ว่าจะผ่านการเรียนออนไลน์, การอ่านหนังสือ, การฟัง Podcast หรือแม้แต่การอบรมต่าง ๆ อย่างไรก็ตามปัญหาที่เกิดขึ้นกับทุกกระบวนการเรียนทั่วโลก คือผู้เรียนไม่รู้ว่าจะนำเนื้อหามาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริงได้อย่างไร โดย SEAC ค้นพบว่ามีเนื้อหาเพียงไม่ถึง 10% ของสิ่งที่ได้เรียนรู้ที่ถูกนำไปใช้จริง แปลว่ามีอีกกว่า 90% ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างน่าเสียดาย
ดังนั้น HREX และ SEAC จึงร่วมกันจัดสัมมนาขึ้นเพื่อพาทุกคนไปรู้จักกระบวนการ Situation-based SMART Learning ที่จะช่วยทำให้ผู้เรียนสามารถนำไปใช้งานได้ทันที และมีการออกแบบประสบการณ์ที่ส่งเสริมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้ภายในระยะเวลาอันสั้น เราเรียนรู้อะไรจากงานเสวนาครั้งนี้บ้าง หาคำตอบไปพร้อมกันได้เลย
สรุปเสวนา Situation-based SMART Learning
ปัจจุบันเราอยู่ในยุคที่เกิด Digital Disruption อย่างจริงจัง โดยมีโควิด-19 เป็นอัตราเร่งที่ทำให้มนุษย์ต้องก้าวเข้าสู่ยุคของ Lifelong Learning คือเรียนเท่าไหร่ก็ไม่พอ ต้องหมั่นศึกษาหาความรู้ให้มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งแนวคิดของการเรียนรู้แบบนี้นำไปสู่คำถามว่าแล้วคนในยุคนี้จะต้องเรียนอะไร ? แล้วต้องมีทัศนคติแบบไหนที่จะทำให้เกิดความรู้สึกอยากเรียนรู้ไปตลอด
ดังนั้นวิธีวางแผนการเรียนรู้ในปัจจุบันจึงไม่สามารถเริ่มจากองค์กรเป็นตัวตั้งเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเอาความต้องการของพนักงานเป็นที่ตั้งด้วย นี่คือรากฐานของการทำเทรนนิ่ง (Training & Development) ที่สมบูรณ์
Pain Point ที่เราต้องพูดถึงก็คือการเรียนรู้แต่ละครั้งตั้งแต่ในอดีต ไม่สามารถแสดงผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมได้ แถมบางครั้งก็เป็นการจัดอบรมที่แค่ “ต้องมี” เท่านั้น ไม่ได้เกิดจากการวางแผนอย่างรัดกุมเพื่อให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ แน่นอนว่าการเรียนย่อมทำให้พนักงานเก่งขึ้นในแง่มุมใดแง่มุมหนึ่งอยู่แล้ว แต่การวัดผลอย่างจริงจัง และพิสูจน์ได้ว่ามันสามารถนำไปใช้จริงได้อย่างมีเหตุมีผล คือองค์ประกอบสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้กระบวนการพัฒนาบุคลากรมีคุณภาพอย่างเป็นรูปธรรม
เพราะอย่าลืมว่าการพัฒนาองค์กรในปัจจุบันเป็นเรื่องยากกว่าเดิม โลกของเราเต็มไปด้วยความหลากหลาย แถมข้อมูลความรู้ก็สามารถหาได้ด้วยปลายนิ้ว คำถามสำคัญจึงไม่ใช่การพูดว่า “พนักงานจะหาความรู้เพิ่มเติมได้อย่างไร” แต่ต้องเป็น “พนักงานจะนำความรู้ที่มีอยู่ไปใช้งานได้อย่างไรต่างหาก”
Situation-Based SMART Learning จึงเป็นแนวทางการเรียนรู้ใหม่ของทาง SEAC ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวทาง SMART Learning โดยมีแนวคิดหลักอย่างหนึ่งคือการรับมือกับโลกยุคใหม่ที่มีผลสำรวจบอกว่า 2 ใน 3 ของงานจะถูกเทคโนโลยี AI เข้ามาแทนที่
เราจึงต้อง Upskills พนักงานให้แข็งแกร่งขึ้น จะใช้ Traditional Training แบบเดิมเพียงอย่างเดียวไม่ได้อีกต่อไป การเรียนรู้ในปัจจุบันต้องไม่ใช่การนำ Content หรือเนื้อหาที่น่าสนใจและเคยเข้าถึงได้ยากมานำเสนอกับผู้เรียน แต่เราต้องใส่ใจบริบท (Context) ด้วยว่าแล้วองค์ความรู้แบบไหนที่จำเป็นกับโลกในแต่ละช่วงมากที่สุด
คำว่า Situation-Based SMART Learning จึงหมายถึงการเรียนรู้โดยการถามก่อนเลยว่าหากจะพัฒนาองค์กรนั้น ๆ ให้ประสบความสำเร็จ เราต้องใส่ใจกับแง่มุมใดบ้าง ไม่ใช่เอาความรู้กว้าง ๆ ไปมอบให้แล้วไม่สามารถนำไปใช้กับสถานการณ์จริงได้ ซึ่งการเรียนรู้เหล่านี้ต้องทำให้เห็นข้อดีได้ในระยะเวลาอันสั้น มีเรื่องใดที่จำเป็นที่สุด (Set Priorities) นี่คือขั้นตอนที่เราต้องวิเคราะห์อย่างจริงจัง เพราะหากเราพุ่งเป้าไปได้ตรงจุด ควบคู่กับการใช้เครื่องมือ (Tools) ที่เหมาะสม เราก็จะลดเวลาเรียนได้มาก
SEAC จะร่วมพูดคุยกับองค์กรแต่ละแห่งแบบตัวต่อตัว เพื่อช่วยเรื่องของ Organization Development เราต้องช่วยกัน Co-Design เพื่อหาคำตอบร่วมกันว่าปัญหาไหนกันแน่ที่น่ากังวลที่สุด SEAC จะไม่เข้าไปด้วยผลวิจัยแบบกว้าง ๆ แล้วบอกว่าเรื่องไหนเหมาะ เรื่องไหนไม่เหมาะ เพราะความต้องการของแต่ละองค์กรย่อมแตกต่างกันไป เพราะไม่มีทางที่ SEAC จะรู้บริบทของแต่ละองค์กรเท่ากับคนที่ทำงานอยู่กับองค์กรนั้น ๆ
เช่น การเปลี่ยนผู้นำจาก Leader ให้เป็น People Manager กระบวนการนี้มีขั้นตอนอย่างไร ต้องใช้เครื่องมือแบบไหนให้เหมาะกับรูปแบบการวัฒนธรรมของแต่ละองค์กร นี่คือเรื่องที่จะหาคำตอบได้ก็ต่อเมื่อแต่ละองค์กรมีการพัฒนาร่วมกันเท่านั้น
ต้องเข้าใจก่อนว่าการทำ Situation-Based SMART Learning ไม่ใช่การเอาทุกปัญหามาแก้ แต่เป็นการพัฒนาที่สอนให้เรารู้จักจัดลำดับความสำคัญ ต้องมีการตั้งเป้าหมาย (Set Goal) เพื่อจะได้มุ่งหน้าไปทางนั้น ในที่นี้ต้องเข้าใจว่าแม้จะมีเป้าหมายเหมือนกัน แต่การทำงานเพื่อเปลี่ยนคนที่มีมุมมองแตกต่างกัน ก็ต้องใช้วิธีที่ไม่เหมือนกันอยู่ดี องค์กรจึงต้องหาความรู้และเก็บข้อมูลให้มากที่สุด จะไม่สามารถทำงานแบบ One-Size-Fit-All ได้อีกต่อไป
การใช้ Situation-Based SMART Learning กินเวลาประมาณ 5 สัปดาห์เท่านั้น ซึ่งการใช้เวลาเพียงน้อยนิดนี้เกิดขึ้นจากแนวคิดว่าการเรียนรู้ในอดีตมีลักษณะเหมือนการ “เรียนเผื่อ” คือเป็นความรู้ที่มีประโยชน์จริง แต่ก็เป็นการเรียนที่ไม่รู้จะได้นำไปใช้เมื่อไหร่ แต่ SMART Learning คือการออกแบบวิธีเรียนรู้ และศึกษาเทคโนโลยีที่เหมาะสม ควบคู่กับการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง
องค์ประกอบเหล่านี้คือกลยุทธ์ที่ช่วยให้การอบรมมีคุณภาพและใช้เวลาน้อยกว่าเดิม SEAC จะมีแนวคิดที่ชื่อว่า Faces and Places คือคนที่เข้ามาเรียนจะต้องรู้ว่าเนื้อหาที่กำลังศึกษาอยู่ จะนำไปใช้กับใคร และจะนำไปใช้ในสถานที่ใด สถานการณ์ไหน โดย SEAC จะมีพื้นที่และสถานการณ์ให้ผู้เรียนสามารถนำไปทดลองใช้เพื่อสร้างความคุ้นเคย และตกผลึกเนื้อหาในหัวได้อย่างชัดเจนกว่าเดิม
ถ้าถามว่าองค์กรแบบไหนที่เหมาะกับ Situation-Based SMART Learning ? คำตอบก็คือเราต้องถามก่อนว่าองค์กรของเรารู้จุดอ่อนของตัวเองหรือไม่ สามารถตอบได้ไหมว่าวัตถุประสงค์ของการจัดอบรมคืออะไร มีรากฐานที่แข็งแรงหรือไม่ ?
หากเรายังไม่รู้ตรงส่วนนี้ เราก็ควรให้ความสำคัญกับการทำพื้นฐานให้แน่นก่อน แต่ถ้าเรามาถึงจุดที่เราต้องการผลลัพธ์แล้ว มีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว แต่ยังจับจุดไม่ถูกว่าจะเน้นไปเรื่องใดก่อน ก็ถือว่าสามารถใช้ Situation-Based Learning ได้แล้ว
เพราะการเรียนรู้แบบนี้คือการเรียนที่เรามีวัตถุประสงค์ชัดเจน ว่าอยากให้ส่งผลกับองค์กรแบบไหน อย่างไร เช่นกระบวนการทำงานง่ายขึ้น, มีความคล่องตัวขึ้น, งานเสร็จเร็วขึ้น ฯลฯ หากเราได้ข้อสรุปตรงนี้ เราก็จะมา Co-Design ระหว่าง SEAC และองค์กรเพื่อหาคำตอบและวิธีการที่ดีที่สุดต่อไป
ทิ้งท้ายอีกครั้งว่าการเรียนรู้แบบเดิมนั้น ไม่ตอบโจทย์ของยุคสมัยอีกต่อไป เพราะไม่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริง
ที่สำคัญคือเป็นไปได้สูงว่าในอนาคตอันใกล้นี้ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากยิ่งขึ้น เราจึงต้องพัฒนาตนเองให้พร้อมรับมือ และสามารถคว้าโอกาสใหม่ ๆ ได้อย่างชาญฉลาด เพราะหากเราละเลย เราก็จะกลายเป็นคนล้าหลัง ก้าวไม่ทันโลกไปโดยไม่รู้ตัว เหตุนี้ SEAC’s SMART Learning จึงถือเป็นกลไกที่จะช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกให้กับการทำงาน และช่วยให้เราใช้ชีวิตได้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน