ยิ่งเทคโนโลยีก้าวล้ำมากเท่าไหร่ คนทำงานก็ยิ่งต้องปรับตัวไวขึ้นมากเท่านั้น ไม่เว้นแม้กระทั่ง HR ในแต่ละองค์กร ที่ต้องรู้วิธีการนำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อช่วยให้สามารถทำงานได้เร็วขึ้น และมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม
ด้วยเหตุนี้ Disrupt Corporate Program จึงจัดงานเสวนาหัวข้อ Priorities for HR Leaders Heading into 2024 ขึ้นในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2024 เพื่อชวนผู้นำด้าน HR แลกเปลี่ยนกันว่า HR ต้องเตรียมความพร้อมอย่างไรบ้าง เพื่อให้การทำงานตลอดปี 2024 เป็นไปอย่างราบรื่น โดยมีคุณกานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล กลุ่มบริษัท บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (AIS) และกลุ่มอินทัช เป็นวิทยากรหลัก
สาระสำคัญของการเสวนาในครั้งนี้มีเรื่องอะไรน่าสนใจบ้าง HREX ขอสรุปมาให้อ่านกันในบทความนี้
จากข้อสงสัยในวัยเด็ก สู่ความต้องการอยากทำงานด้านคน
คุณกานติมา เริ่มจากการเล่าว่า สาเหตุที่เธอสนใจงานด้าน HR เพราะตั้งแต่สมัยเด็ก เธอสงสัยว่าในองค์กรที่คุณพ่อทำงานอยู่นั้น คนที่ทำงานบริหารทรัพยากรบุคคล หรือ HR มีหน้าที่อะไรบ้าง นอกเหนือจากการบ่นพนักงาน โดยเธอคิดว่าถ้าองค์กรสนใจเรื่องการบริหารจัดการคนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น จะช่วยให้องค์กรของคุณพ่อเติบโตขึ้นได้ดีกว่าเดิมหรือไม่
นั่นนำมาสู่การตั้งเป้าที่จะศึกษาต่อด้านการพัฒนาคนในต่างประเทศ ซึ่งแต่ก่อน การจะเรียนนั้นจะมีสาขาวิชาแค่ไม่กี่สาขาที่เปิดรับ เช่น รัฐศาสตร์ เป็นต้น การเรียนสายนี้ทำให้เธอได้พบวิชาที่น่าสนใจ เช่น การให้คำปรึกษาทางจิต ที่ช่วยให้เข้าใจกระบวนการคิดและการกระทำของคนว่า เกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญต่องาน HR อย่างยิ่ง
จากนั้นพอเรียนจบ เธอก็ได้ไปทำงานที่เกี่ยวกับเรื่องคนในธุรกิจหรือองค์กรที่แตกต่างไม่ซ้ำแนวกันเลย จนกระทั่งปัจจุบันได้ทำงานกับ AIS ซึ่งประกอบธุรกิจด้านโทรคมนาคม ที่ทำให้เธอยิ่งให้ความสำคัญกับการเชื่อมองค์กรเข้าสู่ระบบดิจิทัล และเปลี่ยนผ่าน (Transform) ไปสู่ความเป็นสังคมและองค์กรดิจิทัลยิ่งขึ้น
หมดยุค CEO สายธุรกิจที่สนใจแต่การประชุม สู่ยุค CEO สายวิศวกรรมที่สนใจการสร้าง Product ที่ดี
หลายองค์กรล้วนพบเจอปัญหาว่า ผู้บริหารองค์กรระดับ C-Level ไม่ได้ให้ความสำคัญกับงาน HR เท่าที่ควร ผู้บริหารมอง HR เป็นเพียงสายสนับสนุน ไม่เปิดโอกาสให้ HR เข้ามามีส่วนร่วมในการวางกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนองค์กร ซึ่งส่งผลให้องค์กรไม่สามารถเติบโตได้ตามเป้าที่วางไว้
คุณกานติมา พบว่าจากการทำงานมาหลายปี พบเห็นเสมอว่าหลายองค์กรบอกกล่าวกับผู้คนว่า ให้ความสำคัญกับคนเป็นหลัก แต่เวลาปฏิบัติจริงกลับดูแลคนเป็นเรื่องสุดท้าย แต่ในปี 2024 เป็นต้นไปนี้ ถ้าผู้บริหารและ HR ไม่ร่วมกันเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน จะไม่สามารถนำองค์กรไปสู่เป้าหมายได้เลย
ผู้บริหารจาก AIS ยังอธิบายว่าทางออกของการทำงานในยุคต่อจากนี้ อาจเริ่มจากการที่ CEO ขององค์กรเป็นคนที่มาจบการศึกษาจากสายวิศวกรรมศาสตร์ แทนการจบบริหารธุรกิจ หรือ MBA แล้ว และนั่นเป็นเทรนด์ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วทั้งโลก เพราะ CEO ที่สนใจธุรกิจ มักจะให้ความสำคัญกับการประชุม สนใจแต่เรื่องงบ จนไม่สนใจการพัฒนา Product ที่ดีและมีคุณภาพ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการทำธุรกิจ
กรณีศึกษาที่น่าสนใจ เช่น Microsoft ที่แม้จะเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่ช่วงหลายปีหลังที่ผู้บริหารหัวธุรกิจอย่าง สตีฟ บอลเมอร์ คุมบังเหียน องค์กรกลับขาดนวัตกรรมที่ช่วยขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้า และเป็นฝ่ายที่ตามหลังคู่แข่ง จนกระทั่งการเปลี่ยน CEO มาเป็น สัตยา นาเดลลา ที่ทำให้ Microsoft ปรับตัวเข้าสู่ยุคใหม่ แนวคิดใหม่ และนำองค์กรกลับมาสู่แถวหน้าอีกครั้ง ด้านการทำให้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ไปอยู่บน Cloud
“โลกทุกวันนี้อยู่ได้ด้วย Product ที่ดี CEO ที่มีความรู้ด้านวิศวกรรมศาสตร์ต้องการคนมาช่วยให้องค์กรขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยนวัตกรรม และในขณะเดียวกันก็ต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนา Soft Skills ของคน และ HR ที่ทำงานแบบเดิม ๆ ซ้ำไปมา จะมีความเสี่ยงต่อการตกงานมากขึ้น”
คุณกานติมา ยกตัวอย่าง AIS เองที่ยุบฝ่ายเทรนนิ่งขององค์กรไปหลายปีแล้ว ด้วยความเชื่อว่า การเรียนรู้ในปัจจุบันทุกคนจะต้องไม่รอให้เทรนเนอร์หรือครูเป็นผู้กระตุ้นให้อยากเรียนรู้ แต่ทุกคนจะต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองตลอดเวลาโดยไม่ต้องให้ใครมาบอก และคนที่ดิ้นรน Upskill ตัวเองจะเป็นผู้ที่อยู่รอด ขณะเดียวกัน องค์กรที่ปิดช่องทางการเข้าถึงองค์ความรู้ หวงความรู้บางเรื่องให้กับผู้บริหารหรือคนในบางระดับชั้นจะเติบโตอย่างเชื่องช้า
2024 กับ Priorities for HR ที่ต้องเตรียมตัวสู่อนาคต
สำหรับสิ่งที่ HR ควรต้องให้ความสำคัญในปี 2024 จากนี้เป็นต้นไป มีหลายประการด้วยการ โดยคุณกานติมาสรุปออกมาคร่าว ๆ ดังต่อไปนี้
- การเติบโตของธุรกิจทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานการพัฒนาคน องค์กรไหนที่ไม่ได้เอา HR มาร่วมวางกลยุทธ์ ไม่มี HR Business Partner ช่วยให้มุมมองเรื่องการเติบโตทางธุรกิจ จะเติบโตได้ลำบากยิ่งขึ้น
- HR ต้องมีความครีเอทีฟ สรรค์หาสิ่งใหม่ ๆ มาใช้ในการทำงานเสมอ เพราะองค์ความรู้ แนวทางปฏิบัติเก่า ๆ จะใช้การไม่ได้อีกต่อไป Design Thinking จะกลายเป็นเรื่องปกติที่ต้องเกิดขึ้นในหัว ไม่ใช่การแปะ Post-it แล้ว มิฉะนั้นจะไม่ทันท่วงที
- องค์กรต้องเปิดโอกาสให้พนักงานเข้าถึงสวัสดิการที่ยืดหยุ่น (Flexible Benefit) เปิดโอกาสพนักงานเลือกสวัสดิการที่ตรงใจ สามารถเลือกได้ว่าอยากเรียน อยากพัฒนาทักษะตัวเองอย่างไร ที่ไม่เหมือนกับคนอื่น หรือโดนบังคับให้เรียน แนวคิด Talent management จะเปลี่ยนไปเพราะคนจะรับผิดชอบตัวเอง ไม่ต้องรอให้ใครมาสั่ง ไม่ต้องรอให้ใครมาบอกให้เรียนรู้คอร์สต่าง ๆ
- HR ต้องปรับตัวเร็วยิ่งขึ้น HR ต้องปฏิวัติการทำงานของตัวเอง และผู้บริหารต้องเปิดใจถึงบทบาทใหม่ของ HR ที่ไม่ใช่แค่งาน Admin อีกต่อไป
- องค์กรไหนไม่พูดเรื่องนวัตกรรม องค์กรนั้นมีปัญหา นวัตกรรมที่ว่านี้ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่หมายถึงเครื่องมือใหม่ ๆ ที่ช่วยในการทำงาน เพราะเทคโนโลยีจะเข้ามาทำงานแทนคนมากขึ้น แต่ HR ต้องตระหนักว่ามันไม่ได้จะทำให้ทุกคนตกงาน เพราะเทคโนโลยีจะช่วยให้คนทำงานฉลาดขึ้น ทำงานง่ายขึ้น ลดทอนการเสียเวลาทำสิ่งเดิม ๆ ซ้ำ ๆ และใครที่ยังทำงานแบบเดิมอยู่ คนเหล่านี้ต่างหากที่จะตกงานเพราะเทคโนโลยี
- โลกจะก้าวเข้าสู่การเป็น Smart City เต็มตัว เกิด Smart Home ที่ช่วยให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้น แต่ขณะเดียวกันในเชิงการทำงานก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นเช่นกัน
- เทรนด์เรื่องความยั่งยืน (Sustainability) หรือ ESG จะทวีความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนเจน Z ที่จะมีแนวคิดการคืนสิ่งดี ๆ สู่สังคม เพื่อตอบแทนสังคมมากขึ้น ดังนั้น HR เองก็ต้องรู้และนำไปปรับใช้ด้วย
เหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่เป็นสิ่งที่ HR ผู้บริหาร รวมถึงคนทำงานจำเป็นต้องทำและปรับตัวให้รวดเร็ว ทั้งนี้ทั้งนั้น แต่ละองค์กรอย่าลืมนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทขององค์กรด้วย จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด
