CareerVisa จัดงานแนะแนวอาชีพ Career Ready Boot Camp 2024 อย่างยิ่งใหญ่ ภายใต้ธีม “Prepare Yourself, Prepare to Be in Bloom” โดยรวบรวม Insight และ Trend ที่น่าสนใจมาติดอาวุธและอัปเดตความเคลื่อนไหวให้ทุกคนได้รับทราบ เพื่อก้าวเข้าสู่โลกการทำงานอย่างมั่นใจต่อไป
ภายในงานนี้มีเสวนาที่พูดถึงเรื่องการทำงานที่น่าสนใจหลายหัวข้อ หาก HR ท่านไหนพลาดงานนี้ไป HREX สรุปทุกเรื่องที่ควรต้องรู้มาให้แล้ว อ่านได้เลยในบทความนี้
Contents
- Career Ready Boot Camp 2024 #1.Towards 2025: Career Trends
- Career Ready Boot Camp 2024 #2.Be in a Rockstar Talent Program
- Career Ready Boot Camp 2024 #3.Be Your Best: Enneagram of Personality
- Career Ready Boot Camp 2024 #4.Taking a Risk of Being Gen Z
- Career Ready Boot Camp 2024 #5.Passion to Business
- Career Ready Boot Camp 2024 #6.Meet the Coach: Money Goal
Career Ready Boot Camp 2024 #1.Towards 2025: Career Trends
คุณธีรยา ธีรนาคนาท Co-Founder จาก CareerVisa (Thailand) กล่าวเปิดงานด้วยการชวนตั้งคำถามว่า งานไหนมาแรง งานไหนต้องปรับตัว เพื่อเตรียมพร้อมสู่ปีใหม่ที่ท้าทาย
คุณธีรยา ธีรนาคนาท Co-Founder จาก CareerVisa (Thailand) กล่าวเปิดงานด้วยการชวนตั้งคำถามว่า งานไหนมาแรง งานไหนต้องปรับตัว เพื่อเตรียมพร้อมสู่ปีใหม่ที่ท้าทาย
คุณธีรยา กล่าวว่าปี 2024 มีจุดเปลี่ยนที่ส่งผลต่อทิศทางการทำงานในอนาคตหลายอย่าง ไม่ว่าจะการเลือกตั้งในหลายประเทศ ความไม่สงบจากสงคราม รวมถึงการพัฒนาของ Generative AI ที่ส่งผลต่อทั้งความมั่นคงและโอกาสในอาชีพ โดยประเด็นหลังนี้จะเห็นได้ว่าหลายบริษัทนำ AI มาใช้ในงานที่ต้องการความแม่นยำและความเร็ว ส่งผลให้คนกังวลกันว่า ปัญญาประดิษฐ์อาจทำให้คนจำนวนมากตกงาน
เมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2025 อาชีพที่มีแนวโน้มเติบโตสูงและเป็นที่ต้องการมากขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นงานสาย Data, AI และงานด้านนวัตกรรมยังเป็นที่ต้องการอย่างมาก เนื่องจากองค์กรต่าง ๆ มองหาวิธีนำข้อมูลมาใช้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น ไปจนถึงหาวิธีสร้าง Business Model ที่ยั่งยืน ตอบโจทย์หลัก ESG
แต่ไม่ว่างานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ปัญญาประดิษฐ์จะเยอะแค่ไหน แต่สิ่งที่คนเราขาดไม่ได้คืองานที่ต้องใช้ Empathy หรือการมีความเห็นอกเห็นใจในการทำงานกับผู้อื่นด้วย
และเพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเติบโตในอนาคต ทักษะสำคัญที่จำเป็นต้องมีคือ ความสามารถในการเรียนรู้ (Learning Agility) ความเข้าใจใน AI (AI Literacy) รวมถึงทักษะภาษาอังกฤษ การสื่อสาร การจัดการการเงิน และทักษะการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship)
การมีทักษะเหล่านี้จะช่วยให้คนทำงานสามารถปรับตัวและมีบทบาทสำคัญในองค์กรได้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วแน่นอน
Career Ready Boot Camp 2024 #2.Be in a Rockstar Talent Program
Session นี้ได้วิทยากร 3 ท่าน คุณศิเรมอร ทองปาน Lead Online Marketing of Shopee Thailand, คุณกชกร งามประเสริฐกิจ Operations Senior Manager of Aura Bangkok Clinic และคุณภูศิลป์ ภูริวัฒนพงศ์ Sustainability Business of Schneider Electric มาเล่าถึงประโยชน์ของการ เข้าโปรแกรมเด็กฝึก ในกรณีนี้ไม่ได้หมายถึงการฝึกงาน แต่หมายถึง Management Trainee โปรแกรมที่จะช่วยให้ทาเลนต์ในองค์กร สามารถเติบโตขึ้นไปเป็นผู้นำองค์กรได้อย่างแข็งแกร่ง
คุณศิเรมอร เล่าว่า Management Trainee ของ Shopee เป็นโปรแกรมสำหรับสร้างผู้นำรุ่นต่อไปขององค์กร เปรียบเหมือนบันไดเลื่อนที่ทำให้เรียนรู้ได้ราบรื่นขึ้น เจอเส้นทางการเติบโตที่เร็วกว่าการทำงานตามปกติ ที่ Shopee จะเป็นโปรแกรมขนาดยาว ไม่แค่เรียนรู้ในไทย แต่ยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศอื่น ๆ ด้วย
ส่วนคุณสมบัติที่ต้องมีหากจะเข้าร่วมโปรแกรมนี้ พร้อมเปิดรับพนักงานที่มีประสบการณ์ทำงานไม่เกิน 2 ปีมาเข้ารับการขัดเกลา โดยต้องเป็นคนที่มี Open Mindset พร้อมเรียนรู้ มีความเป็นผู้นำสูง สามารถสื่อสารได้ดีกับคนที่อยู่ข้างบน คือหัวหน้า และคนที่อยู่ด้านล่างคือคนในทีม นอกจากนั้นต้องแก้ปัญหาเก่ง และเรียนรู้ไว เรียนรู้เก่ง สามารถก้าวจาก 0 ไปถึง 100 ได้ไว มี Self Drive ที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จ
ส่วนคุณกชกร บอกว่าที่ Aura Bangkok Clinic แม้จะเป็นองค์กรเล็ก ๆ แต่ก็มี Management Trainee ได้ เพราะองค์กรอยากให้ลูกค้าได้รับการบริการที่ดีที่สุด เลยต้องทำโปรแกรมนี้เพื่อสร้างคนที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างดีเยี่ยม โดยไม่ว่าจะแผนกไหนก็สามารถเข้าร่วมได้ แต่ละแผนกมี Joerney มีการเรียนรู้ที่แตกต่างกันไป ขอเพียงหานำคนที่คิดว่าสามารถปั้นให้เติบโตได้ เติบโตไปถึงฝั่งฝัน
อย่างไรก็ตาม โครงการนี้แม้จะเป็นบันไดเลื่อน เป็น Fast Track ในการเติบโตทางอาชีพ แต่ก็ต้องเหนื่อยกว่าคนอื่นแน่นอน การเข้าโปรแกรมนี้ในบริษัทเล็ก ๆ จะทำให้ได้เรียนรู้ทุกเรื่องจนรู้รอบ และสามารถเติบโตด้วยตัวเองได้ ถ้าใครผ่านไปได้ มั่นใจได้ว่าจะเป็นคนที่เก่งขึ้นกว่าเดิม และเติบโตได้ไวมาก ๆ
ด้านคุณภูศิลป์ บอกว่า จริง ๆ แล้วเส้นทางใน Management Trainee น่าจะเป็นการปีนบันไดลิงมากกว่า เพราะเส้นทางที่เจออาจใช่เส้นทางที่สบายที่สุด แต่การปีนป่ายแต่ละครั้งจะได้เรียนรู้ ได้ประสบการณ์เยอะที่สุดแน่นอน
สำหรับที่ Schneider Electric เป้าหมายของโปรแกรมนี้ไม่ใช่แค่ให้คนจบไปเป็นเมเนเจอร์ แต่ยังสามารถพัฒนาเป็น Specialist ในแต่ละ Business Unit ได้แต่มันก็จะขึ้นอยู่กับตัวเราเองด้วย ว่าขวนขวายเก่งไหม มีความตั้งใจมากกว่าคนอื่นไหม ถ้ามีจะปีนบันไดลิงเก่ง แล้วไปถึงเป้าหมายได้แน่นอน
สิ่งที่เขาอยากแนะนำก็คือ ต้องมีความกล้าที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำด้วย อย่าแค่เก่งอยู่กับตัวเอง แต่ต้องเรียนรู้ที่จะแบ่งปันความเก่ง นำเสนอความเก่งออกมาด้วย และถ้ามีความกล้า จะยิ่งทำให้เราโดดเด่นออกมาจากผู้อื่น เติบโตได้ไกล ได้รับการยอมรับมากกว่าผู้อื่น
Career Ready Boot Camp 2024 #3.Be Your Best: Enneagram of Personality
คุณโสภณ มีสกุล Assistant Director of HR จาก IMPACT Exhibition Management มาอธิบายถึงการนำเอาความรู้ด้านนพลักษณ์ หรือ Enneagram มาช่วยในการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ เป็นศาสตร์ที่ประโยชน์ไม่แพ้ DISC หรือ MBTI แต่มันก็มีความแตกต่างจาก DISC และ MBTI พอสมควร
Enneagram มีจุดเริ่มต้นย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ เป็นศาสตร์ที่ทำให้เรารู้จักเข้าใจตัวเอง มีความเข้าใจผู้อื่นซึ่งสำคัญมาก ๆ สำหรับคนเป็น HR ที่ต้องพูดคุย ติดต่อสื่อสาร ประสานงานกับผู้อื่นเสมอ การรู้ศาสตร์นี้จะทำให้เข้าใจว่าจะเข้าถึงผู้อื่นอย่างไร จะต้องปรับตัวเข้ากับผู้อื่นอย่างไร และจะเป็นผู้นำที่มีความแตกต่างจากผู้นำตามตำราอย่างไร
เราจะรู้ว่าคนไหนอยู่ลักษณ์ไหนได้ เพียงแค่ทำแบบทดสอบ 12 ข้อ ก็พอจะมองเห็นแนวโน้มคร่าว ๆ ได้แล้ว ทั้งนี้ โดยพื้นฐานของการหา Enneagram เชื่อว่าคนมีบุคลิก 9 แบบ แต่ละแบบมีพลังที่เชื่อมโยงซึ่งกันและกัน แต่มีสิ่งที่เรียกว่า Center of Excellence ซึ่งมีกลุ่มย่อย 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้
1.Doing
ลักษณ์ในกลุ่มนี้มีแรงขับดันอยู่ที่ความโกรธ ตัดสินใจบนสัญชาตญาณ และชอบลงมือทำทันทีทันใด คนกลุ่มนี้จะมีความเป็นผู้นำสูง แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเป็นเผด็จการ พร้อมปล่อยพลังความโกรธอย่างฉับพลันทันใด มีมาตรฐานสูง เป็นคนเจ้าหลักการ
แต่สำหรับบางคนอาจเป็นผู้รักสันติ ปฏิเสธความโกรธ เป็นคนที่ไม่ชอบสังคมมากนัก ชอบเข้าแบบกลมกลืนไปกับกลุ่ม แต่รับรู้ความโกรธไว และคอยห้ามไม่ให้ผู้อื่นไม่ให้ทะเลาะกัน
2.Feeling
คนอยู่ในลักษณ์นี้จะตัดสินใจบนความรู้สึก ชอบ ไม่ชอบ ใช่ ไม่ใช่ ให้ความสำคัญกับหน้าตา-ภาพลักษณ์ต้องมาก่อน คนกลุ่มนี้อยากเป็นที่ยอมรับจากผู้อื่น จึงช่วยเหลือผู้อื่นให้มากที่สุด พร้อมช่วยทุกคน เพื่อเป็นคนที่ทุกคนขาดไม่ได้ คนกลุ่มนี้บ้าความสำเร็จขั้นสุด อยากให้คนเห็นว่าเก่ง มีวุฒิภาวะ อยากทำอะไรให้สำเร็จ อยากมีอัตลักษณ์ที่พิเศษ มีตัวตนที่แตกต่างจากผู้อื่น
3.Thinking
กลุ่มนักคิด ชอบคิด ชอบใช้หลักการ มีแรงขับอยู่บนความกลัว เพราะเป็นคนคิดเยอะ เพื่อปิดความเสี่ยงทั้งหมด ไม่ให้ทำผิดพลาด มีความรักอิสระ ไม่ค่อยชอบทำงานร่วมกับผู้อื่น ถ้าจะประชุม จะประชุมให้น้อยที่สุด มีความรับผิดชอบสูง ทำงานหนัก มีความกระตือรือร้น ชอบตั้งคำถาม ชอบเสพความสนุก น่าตื่นเต้น มีความท้าทาย จะตัดสินใจไว และตัดสินใจได้เด็ดขาด
การจัดทีมตาม Enneagram ให้ดี ไม่ใช่การจัดคนที่เหมือนกันเข้ามาร่วมทีมกัน แต่เป็นการจัดทีมที่มีความหลากหลาย เพื่อรวบรวมความแข็งแกร่งที่หลากหลายเข้าด้วยกัน เอาจุดแข็งมาปิดช่องจุดอ่อน นั่นจึงจะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ดีขึ้น
แต่บ่อยครั้ง เราอาจจะเจอว่าจะมีบางลักษณ์ที่เราเองอาจไม่อยากทำงานด้วย แต่สิ่งที่คุณโสภณชวนให้คิดก็คือ เราเองก็ต้องตั้งคำถามเหมือนกันว่า คนอื่นอยากทำงานกับเราด้วยไหม ดังนั้นอย่าลืมเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับลักษณ์อื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
Career Ready Boot Camp 2024 #4.Taking a Risk of Being Gen Z
Session นี้ได้วิทยากร 3 ท่าน ได้แก่ คุณพรสัณห์ เชื้อพานิช Risk Assurance Director จาก PwC Thailand, คุณปรียานุช งามเชิดตระกูล Associate Director | Intl Tax and Tran Svcs (ITTS) จาก EY Corporate Services Limited และคุณวุทธิ นพสุวรรณชัย Director (Cyber | Technology & Transformation) จาก Deloitte Thailand มาแลกเปลี่ยนกันถึงการบริหารความเสี่ยงในชีวิตจริงคนทำงาน ที่เด็ก Gen Z ควรรู้ เพื่อจะได้บริหารจัดการแบบมือโปร โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้
- Gen Z ควรเลือกงานอย่างไร? การทำงานบริษัทใหญ่ ๆ อาจเป็นตัวเลือกที่หลายคนแนะนำ แต่ทุกวันนี้จะอยู่บริษัทใหญ่หรือเล็กอาจไม่แตกต่างกันมากแล้ว และบางทีความเสี่ยงของการทำงานใสบริษัทใหญ่อาจสูงกว่าด้วย หนึ่งในข้อได้เปรียบของการทำงานในบริษัทเล็ก คือการได้เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ รวมถึงการไอ้ลงมือปฏิบัติจริงมากกว่า
- แต่มันก็อยู่กับตัวเรามากกว่าว่าอยากทำอะไร อยากเรียนรู้อะไร ถ้ารู้แล้วจงเก็บเกี่ยวมาให้มากที่สุด ถ้าอยู่บริษัทใหญ่แล้วเกิดโดนเลย์ออฟจริง ๆ ถ้าเราทักษะรอบด้านติดตัว เราก็จะยังเป็นที่ต้องการในตลาดอยู่ดี
- หากใครตัดสินใจอยากทำงานในองค์กรใหญ่ ถ้าเลือกได้ การเลือกบริษัทระดับโลกไว้ก่อน อาจดีกว่าเลือกบริษัทในระดับประเทศ เพราะจะช่วยให้เราเข้าใจธุรกิจและเข้าใจการทำงานในระดับโลก
- แน่นอนว่าทุกการตัดสินใจย่อมมีความเสี่ยง แต่เราก็ต้องติดตามข่าวสารด้านการทำงาน หาเวลาดูเทรนด์ตลาด ดูเทรนด์การเงินด้วย เพื่อจะได้รู้ว่าเราอยู่ถูกที่ไหม ถ้าไม่ ควรย้ายไปที่ไหนแทนดี
- อีกสิ่งที่ช่วยได้คือการมี Connection รู้จักคนที่หลากหลาย คนที่ทำงานในหลาย ๆ ที่ ลองพูดคุยหาข้อมูลกับคนเหล่านี้ จะช่วยให้เราเข้าใจความเสี่ยงขององค์กรที่จะเข้าไปอยู่มากขึ้น
- แวดวงการทำงานนั้นแคบกว่าที่คิด ทุกคนรู้จักกันหมด ถ้าอยากลดความเสี่ยง ควรมีความประพฤติดีด้วย จะช่วยป้องกันเวลาจะย้ายงาน แล้วไม่เจอปัจจัยให้เกิดการปฏิเสธงาน การมีคอนเนคชั่นอาจช่วยให้เส้นทางอาชีพเติบโตได้มากกว่าที่คิดด้วย
- ถ้าอยากป้องกันความเสี่ยงที่จะโดนไล่ออก หรือโดนเลย์ออฟ พยายามพัฒนาตัวเอง รู้สิ่งที่ทำจริง ๆ ให้ลึกขึ้น จะได้มั่นใจว่าเราจะเป็นคนที่ถูกเลือก หมั่นติดตามข่าวสารเสมอ หมั่นหาความรู้ใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มช่องทางของตัวเอง และอย่าลืมว่าเราไม่รู้ว่าเราจะโดนไล่ออกเมื่อไหร่ ในช่วงอายุไหน ดังนั้น หมั่นอัพเดต CV ให้พร้อมกับการหางานด้วย
- ความเสี่ยงจากการโดนไล่ออก ยังมาจากการเอาความลับบริษัทไปเผยแพร่ด้วย พนักงาน Gen Z อาจอยู่ในยุคที่แชร์เรื่องต่าง ๆ ตามสื่อสังคมออนไลน์เป็นปกติ แต่ต้องระวังด้วยว่าการเอาข้อมูลบางอย่างมาเปิดเผย ยิ่งเป็นของบริษัทใหญ่ ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ ทุกสิ่งที่เปิดเผยอออกไปมีผลทำให้หุ้นขึ้นหรือลงได้ หากเปิดเผยโดยไม่ระมัดระวัง จะทำให้เกิดปัญหาตามมาถึงตัวเราเอง อย่าลืมว่าสิ่งที่เคยโพสต์ลงไปจะเป็น Digital Footprint ที่ไม่มีทางลบออกได้ และมันอาจมีผลอย่างยิ่งในการหางานใหม่ในอนาคต
- นอกจากการรับรู้ว่าการทำงานมีความเสี่ยงอะไร สุดท้ายแล้วอย่าลืมเรียนรู้ด้วยว่าตัวเราเองเป็นใคร ถนัดอะไร ต้องเสริมจุดไหน แล้วเมื่อนั้นเราจะรู้ว่าควรบริหารตัวเอง และบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างไร จึงจะอยู่รอดในโลกการทำงานอย่างมีความสุข
Career Ready Boot Camp 2024 #5.Passion to Business
อีก Session ที่น่าสนใจว่าด้วยเอา Passion หรือ ‘สิ่งที่รัก’ มาทำเป็น ‘งาน’ จะดีจริงหรือไม่ งานนี้ได้รับเกียรติจากคุณพันธ์ทิพย์ ดีเจริญ CEO ของ ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน (Everyday Thai Tea), คุณเอกชัย สุขุมวิทยา CEO ของ Casa Lapin และคุณพรนภา ณ ระนอง CEO ของ กิมมามี KIMMAMESHOP มาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยมีคุณสหธร เพชรวิโรจน์ชัย Manager จาก HREX ทำหน้าที่ผู้ดำเนินรายการ
สาระสำคัญมีดังนี้
- Passion คือเชื้อเพลิง การทำสิ่งที่ชอบจะช่วยเติมไฟในการทำงานให้ลุกโชนขึ้นเสมอ Passion ในการทำธุกิจเกิดขึ้นได้จากหลากหลายเหตุผล บางคนอาจเกิดจากความชอบส่วนตัว บางคนมาจากการทานอาหาร การแต่งกาย บางคนชอบการดื่มชา กาแฟ พอชอบเรื่องใดมาก ๆ มีความสนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็หาความรู้เรื่องนั้นมากขึ้น จนเกิดเป็นนิสัยติดตัว และทำให้มองเห็นช่องทางว่า จะทำสิ่งที่ชอบนี้ให้ออกมาโดนใจกลุ่มคนที่ชื่นชอบสิ่งเหล่านี้เหมือนกันได้อย่างไร
- ถ้าจะทำธุรกิจ ต้องคำนึงถึงลูกค้าเสมอ ต้องรู้ว่าเขาชอบ Branding แบบไหน ชอบอะไร เราวางตัวเองให้แตกต่างและโดดเด่นจากคู่แข่งสื่อสารอย่างไร ต้องส่งข้อความเหล่านั้นไปถึงลูกค้าให้ได้
- เมื่อทำธุรกิจ การเทรนพนักงานเป็นเรื่องสำคัญ ต้องวางระบบการทำงานให้ดี เพื่อพัฒนาคนให้ทำงานได้ตามเป้า ต้องคิดเสมอว่าจะทำอย่างไรจึงจะทำให้พนักงานมีองค์ความรู้ มีความอินในสิ่งนี้เหมือนกันเพื่อส่งต่อคุณค่าที่ดีไปถึงลูกค้า
- การมีความชอบแล้วลงมือทำธุรกิจเลยไม่ผิด การตัดสินใจเร็วในการทำธุรกิจเร็วไม่ผิด แต่ต้องอุดรอยรั่ว ต้องวางแผนให้ดีก่อนลงมือทำ หลายคนผิดพลาดเยอะเพราะไม่วางแผนให้ดีก่อน หลายอย่างต้องใช้เวลา สิ่งที่ทำในวันนี้ อาจผลิดอกออกผลในอีกหลายเดือนหรือหลายปีในอนาคตได้
- แต่การล้มเหลว ความผิดพลาดก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่แย่เสมอไป สำหรับบางคนอาจใช้จุดนี้เปลี่ยนเป็นแรงบันดาลใจ ให้อยากนำประสบการณ์เหล่านั้นมาทำสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้น เพื่อที่จะไม่ล้มเหลวในแบบเดิมอีก
- เราล้มเหลวได้ แต่เราต้องลุกให้เป็น จงเรียนรู้ในสิ่งที่ทำผิดพลาดไป เรายังอายุน้อย เรายังสามารถเติบโตได้อีกมาก ยังมีโอกาสให้ลองผิดลองถูกได้เรื่อย ๆ แต่อย่าหยุดพยายาม จนกว่าจะเจอวันที่เป็นของเรา
- การจะสำเร็จได้ ไม่ได้มีแค่ตัวเราเอง แต่ยังต้องมีทีมที่พร้อมจะไปด้วยกัน หลายคนกลับมาลุกขึ้นสู้อีกครั้งได้เพราะมีทีมงานและมีคนรอบข้างคอยสนับสนุน หาคนเหล่านั้นให้เจอ ผู้ที่คอยเติมเชื้อไฟในการทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จ
- Passion เป็นเรื่องความรัก แต่มันก็สามารถกลายเป็นสิ่งที่เราเกลียดได้ อย่าลืมเวลาพักผ่อนด้วย หรือหากพักไม่ได้ ก็ต้องหาความสนุกในงานนั้นให้เจอเป็นการชดเชย
- มายด์เซ็ตที่ต้องมีในการทำธุรกิจให้สำเร็จ เริ่มจากการไม่กลัวในสิ่งที่ทำ แล้วจงทำไปเรื่อย ๆ ทำอย่างสม่ำเสมอ เราอาจไม่ได้เก่งไปเสียทุกอย่าง ก็อย่าลืมหาคนที่ถนัดในสิ่งที่เราไม่เก่งมาช่วยอุดจุดอ่อนนั้นด้วย แล้วเราจะเจอวันที่ใช่ วันที่เราประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งเป้าไว้แน่นอน
Career Ready Boot Camp 2024 #6.Meet the Coach: Money Goal
โค้ชหนุ่ม – จักรพงษ์ เมษพันธุ์ The Money Coach มาชวนมาตั้งเป้าหมายบริหารเงินในกระเป๋าที่เหมาะกับตัวเอง เพื่อจะได้เก็บเงิน 1 ล้านบาทได้ก่อนเกษียณอายุการทำงาน
โค้ชหนุ่มเชื่อว่าเรื่องเงินคือเรื่องใหญ่ การเป็นโค้ชการเงินเห็นความปั่นป่วนด้านการเงินเยอะ โดยเฉพาะในระยะหลังที่มักจะมีการพูดว่า ชีวิตที่ดีเป็นอย่างไร จนทำให้คนอยากมีชีวิตแบบนั้นมากขึ้น
หากใครอยากเริ่มต้นด้านการเงินให้ดี โค้ชหนุ่มมีคำแนะนำดังต่อไปนี้
1.อย่าฟังเสียงบอกเล่าของผู้อื่น
แต่ละคนมีไลฟ์สไตล์ทางการเงินแตกต่างกัน เราต้องรู้ตัวเองก่อนว่าแต่ละเดือนเราต้องใช้เงินเท่าไหร่ถึงพอ ถ้าอยากรู้ว่าต้องใช้เท่าไหร่ ลองเขียนบนกระดาษออกมาจะเห็นเลยว่าแต่ละเดือนต้องใช้เท่าไหร่ ถ้างานที่ทำอยู่ได้เงินเดือนน้อย ก็อาจต้องมองหาที่ใหม่ที่ให้เงินเดือนสูงขึ้นด้วย หรือหางานเสริมเพื่อให้มีเงินมากขึ้น จงจำไว้ว่า เราต้องรับผิดชอบการเงินส่วนตัวของตัวเองให้ได้ โดยไม่ต้องให้ใครมารับผิดชอบชีวิตเรา
2.เริ่มวางแผนการเงิน
ลองวางแผน 6 เดือนล่วงหน้าให้รู้ว่ารายจ่ายที่กำลังรออยู่มีอะไรบ้าง แล้วมีกระแสเงินสดเพียงพอในแต่ละเดือนหรือไม่ ถ้าจะออมเงิน อย่าเชื่อสูตรว่าออมเงินต้องกี่เปอร์เซ็นต่อเดือน ค่อย ๆ ออมเท่าที่ทำได้และทำไหว แล้วเมื่อมีโอกาสค่อยเพิ่มการออมให้เพิ่มขึ้น สั่งสมมูลค่าให้เพิ่มขึ้น อาจยังไม่ต้องเริ่มลงทุนก็ได้ เริ่มจากการออมให้มีเงินก้อนประมาณหนึ่งก่อน แล้วจากนั้นจะลงทุนยังไม่สาย
3.สร้างรายได้เพิ่มขึ้น
สิ่งนี้จะเกิดขึ้นเมื่อเราเพิ่มทักษะตัวเองมากพอ แล้วเมื่อทักษะของเราสามารถช่วยคนอื่นได้ ก็จะสามารถเพิ่มมูลค่าในตัวเราเองได้เยอะขึ้นหลายเท่า แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเรามีของในตัวเองมากพอไหมด้วย ดังนั้นหากสนใจอะไร รีบเอาตัวเองลงไปคลุกคลีกับสิ่งนั้นให้มากที่สุด เพื่อสร้างคุณค่า และสร้างมูลค่าเพิ่ม เป็นการเปลี่ยนทุนมนุษย์เป็นทุนการเงิน
4.หัดใช้เงินให้รวยขึ้น
พอหาเงินได้เยอะ เราย่อมอยากใช้เงินเยอะขึ้นด้วย เราสามารถใช้จ่ายฟุ่มเฟือยได้ ไม่ผิด แต่จะผิดเมื่อเราใช้จ่ายเกินตัว แต่ละคนต้องหาให้เจอว่าสิ่งไหนจำเป็นสำหรับเรา และถ้าคิดจะฟุ่มเฟือย อย่าลืมเอาเงินส่วนหนึ่งไปลงทุนเพิ่มด้วยเพื่อให้เงินของเราเติบโตเร็วขึ้น
5.ใช้เงินในสิ่งที่ทำให้ใจเราเติมเต็ม
ถ้าจะดื่มกาแฟทุกเช้า เพราะมันทำให้มีความสุขในการทำงาน ก็ให้ซื้อไปเลย เราไม่จำเป็นต้องประหยัดตระหนี่เกินไป แต่ขอแค่เมื่อเราจ่ายไปแล้ว เราจะยังมีเงินพอเหลือต่อยอด เก็บออม และลงทุนต่อ
6.วางแผนให้ดีก่อนใช้สินเชื่อ
ทั้งสินเชื่อบัตรเครดิต หรือสินเชื่อซื้อบ้าน ปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยคือเราใช้สินเชื่อกันไม่เป็น เพราะใช้สินเชื่อไปกับการบริโภค ไม่ได้ใช้เพื่อความจำเป็นพื้นฐาน แล้วพอไม่สามารถจ่ายเงินคืนเต็มจำนวนได้ ก็ต้องเสียเงินจ่ายดอกเบี้ยเพิ่ม ดังนั้นจะใช้สินเชื่อเมื่อไหร่ ต้องดูเรื่องความจำเป็นและความพร้อม ประเมินความสามารถในการชำระคืนด้วยว่าใช้คืนได้แค่ไหน ใช้แล้วเราจะเหลือเงินเก็บเพียงใด
7.เริ่มลงทุนไว ใช้วิธีเรียบง่าย
แค่ DCA หรือการลงทุนแต่ละเดือนในจำนวนที่เท่า ๆ กัน แล้วลงทุนอย่างสม่ำเสมอ แต่ต้องรู้ด้วยว่าเรามีความรู้ในการลงทุนแค่ไหน แต่ยิ่งลงทุนเร็วเท่าไหร่ เราจะยิ่งสั่งสมมูลค่า สั่งสมความมั่งคั่ง เราจะเก็บเงินได้มากกว่าคนที่ลงทุนช้าด้วย
8.สร้าง Passive Income สร้างรายได้เพิ่มจากทุนชีวิต
เอาความรู้ที่สั่งสมมาเปลี่ยนเป็นมูลค่า อาจหางานอดิเรก หรือความสามารถพิเศษมาใช้หาเงินได้ เพื่อสร้าง Passive Income
“หากเราอยากมีอิสรภาพการเงินก่อนเกษียณ เราต้องมีวินัยทางการเงิน ซึ่งจะนำมาสู่สุขภาพการเงินที่ดี มีสภาพคล่อง ไม่มีหนี้ พร้อมรับมือความเสี่ยง มีเงินสำรอง มีความรู้ด้านการเงิน ครอบคลุมถึงเรื่องวางแผนภาษี แล้วจากนั้นประตูทุกประตูจะนำไปสู่อิสรภาพการเงินเอง” โค้ชหนุ่มทิ้งท้าย