HIGHLIGHT
|
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลายบริษัทเริ่มลดการทำงานแบบ Hybrid Work กันแล้ว พร้อมเรียกพนักงานกลับมาเข้าออฟฟิศมากขึ้น ทำให้การเดินทางมาทำงานตอนเช้ากลายความท้าทายอีกครั้ง โดยเฉพาะคนเมืองที่ต้องใช้บริการรถไฟฟ้าในสภาพแออัด แน่นขนัดและเบียดเสียดในช่วงเวลาเร่งด่วน นำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม
หนึ่งในเหตุการณ์ที่พบเห็นบ่อยครั้งคือ พนักงาน “เป็นลม” ระหว่างเดินทางมาทำงาน เนื่องจากการไม่ได้ดูแลตัวเองอย่างเพียงพอ บางคนอาจไม่ได้ทานอาหารเช้า หรืออาจพักผ่อนไม่เพียงพอ
แม้ว่าเหตุการณ์พนักงานเป็นลมบนรถไฟฟ้าอาจไม่มีสถิติที่ชัดเจน แต่กลับเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงมากขึ้นในโซเชียลมีเดีย ทำให้ HR และผู้บริหารองค์กรควรตระหนักถึงปัญหานี้
เพราะปัญหาเช่นนี้ ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพของพนักงานโดยตรง แต่ยังสะท้อนถึงความท้าทายในการดูแล Wellness ของพนักงานอีกด้วย
ในฐานะที่ HR มีบทบาทสำคัญในการดูแลพนักงาน จะมีการรับมือและป้องกันปัญหาดังกล่าวอย่างไรบ้าง ? อ่านได้จากบทความนี้
Wellness กับบทบาทของ HR: สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม
เพราะ HR เป็นด่านแรกที่ต้องสังเกตและรับมือกับสัญญาณเหล่านี้ การที่พนักงานเป็นลมรพอะหว่างเดินทางหรือแม้แต่ในที่ทำงานควรเป็นจุดเริ่มต้นให้ทีมบริหารหันกลับมาประเมินว่าสุขภางค์รวมของพนักงานนั้นดีพอไหม ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาเหล่านี้ได้
- สภาวะ Burnout: Burnout คือภาวะหมดไฟที่เกิดจากความเครียดสะสม ทั้งจากงานที่ล้นมือหรือขาดความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน (Work-Life Balance) HR ควรมีมาตรการที่ชัดเจนในการติดตามสภาพจิตใจของพนักงาน เช่น การทำแบบสำรวจความพึงพอใจ หรือเปิดช่องทางให้พนักงานสามารถร้องขอความช่วยเหลือหรือแสดงความคิดเห็นได้
- การส่งเสริมสุขภาพทางกายและจิต: การจัดโปรแกรม Wellness ไม่ใช่แค่การออกกำลังกาย แต่ควรรวมถึงการให้ความรู้เกี่ยวกับการพักผ่อน อาหารที่มีประโยชน์ และการบริหารจัดการความเครียด การให้พนักงานเข้าร่วมการฝึกสติ (Mindfulness) หรือกิจกรรมที่ช่วยลดความเครียด เช่น โยคะ หรือการฝึกหายใจ จะช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตและกาย
- สนับสนุนการทำงานแบบยืดหยุ่น: การปรับเวลาทำงานให้ยืดหยุ่น หรือการอนุญาตให้พนักงานทำงานจากบ้านในบางวัน จะช่วยลดความเครียดจากการเดินทางและช่วยให้พนักงานมีเวลาในการดูแลตัวเองมากขึ้น HR ควรส่งเสริมและให้การสนับสนุนการทำงานที่ยืดหยุ่นเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตพนักงาน
สาเหตุที่ทำให้พนักงานเป็นลมบนรถไฟฟ้า
- ความเครียดสะสม: การทำงานหนักหรือต้องทำงานล่วงเวลาบ่อย ๆ สามารถนำไปสู่ความเครียดสะสม ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม ทำให้ร่างกายอ่อนแอและเสี่ยงต่อการเป็นลมได้ง่ายขึ้น
- การพักผ่อนไม่เพียงพอ: ในยุคที่เทคโนโลยีและการทำงานจากที่บ้านทำให้พนักงานสามารถทำงานได้ตลอดเวลา หลายคนจึงประสบปัญหา Burnout จากการที่ไม่สามารถพักผ่อนอย่างเต็มที่
- สภาพร่างกายที่อ่อนแอ: พนักงานที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคเรื้อรัง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือภาวะโลหิตจาง มักมีความเสี่ยงสูงในการเกิดอาการเป็นลมเมื่อร่างกายรับแรงกดดันจากความเครียดหรือการเดินทางที่ยาวนาน
- การบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม: การที่พนักงานบางคนขาดการทานอาหารเช้า หรือเลือกบริโภคอาหารที่ไม่มีประโยชน์ อาจทำให้ร่างกายขาดพลังงานและเกิดอาการวิงเวียนหรือเป็นลมได้
ทางรถไฟฟ้า BTS SkyTrain เคยเขียนข้อความผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลของตัวเองว่า หากมีอาการหน้ามืดเวียนหัว คล้ายจะเป็นลม บนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ไม่ต้องกังวลไป รถไฟฟ้าบีทีเอสมีห้องปฐมพยาบาลให้บริการทุกสถานี
ทั้งนี้บีทีเอสมีการอบรมพนักงานในการปฐมพยาบาลเบื้องต้น เพื่อให้การปฐมพยาบาล และการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน สามารถช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ หรือเจ็บป่วยให้พ้นจากอันตรายได้อย่างถูกต้อง |
บทบาทของ HR ในการสนับสนุนด้าน Wellness ของพนักงาน
เมื่อ Wellness หรือสุขภาพองค์รวมของพนักงานกลายเป็นประเด็นสำคัญในที่ทำงาน HR ต้องทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนและผลักดันเรื่องสุขภาพองค์รวมของพนักงาน ผ่านการจัดการปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ เช่น
- การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เน้น Wellness: องค์กรควรเน้นการสร้างวัฒนธรรมที่ส่งเสริมการดูแลสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการออกกำลังกาย หรือการให้เวลาพนักงานพักผ่อนเพียงพอ
- การให้ข้อมูลและการอบรมเกี่ยวกับสุขภาพ: HR สามารถจัดอบรมให้ความรู้แก่พนักงานเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพในด้านต่าง ๆ เช่น การเลือกทานอาหาร การจัดการความเครียด และวิธีป้องกัน Burnout
- โปรแกรมสุขภาพเชิงรุก: องค์กรควรมีโปรแกรมตรวจสุขภาพประจำปี และส่งเสริมให้พนักงานดูแลสุขภาพของตนเอง เช่น การจัดกิจกรรมเดินวิ่งในองค์กร การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการออกกำลังกาย หรือการมีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในด้านโภชนาการ
HR ควรให้พนักงานหยุดพักไหม ? คำตอบคือ “ควร” เป็นอย่างยิ่ง
เนื่องจากการหยุดพักเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมทั้งสุขภาพกายและจิตใจของพนักงาน ซึ่งจะส่งผลให้พนักงานมีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้นในระยะยาว
ทำไมการหยุดพักถึงสำคัญ?
- ป้องกันการเกิด Burnout: การทำงานต่อเนื่องโดยไม่มีเวลาพักสามารถนำไปสู่ภาวะ Burnout หรือการหมดไฟในการทำงานได้ การให้พนักงานหยุดพักจะช่วยให้พวกเขาฟื้นฟูพลังงาน ลดความเหนื่อยล้า และเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งจะช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพจิตและส่งเสริมความยั่งยืนในงาน
- เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน: มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ว่า การหยุดพักสั้น ๆ ระหว่างการทำงานช่วยให้พนักงานกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานานเกินไปอาจทำให้สมองล้าและประสิทธิภาพการคิดลดลง
- ส่งเสริมสุขภาพองค์รวม: การหยุดพักช่วยลดความเสี่ยงจากปัญหาสุขภาพ เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง หรือปัญหาด้านสุขภาพจิต พนักงานที่ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอจะมีสุขภาพกายและจิตที่ดีขึ้น ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและการทำงานที่ดีขึ้นตามมา
- สร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน (Work-Life Balance): การให้เวลาหยุดพักหรือพักร้อนจะช่วยให้พนักงานมีเวลาใช้ชีวิตส่วนตัวมากขึ้น ลดความเครียดและความกดดันในการทำงาน รวมถึงช่วยรักษาความสุขในชีวิตส่วนตัวและการทำงานไปพร้อม ๆ กัน
แนวทางที่ HR ควรดำเนิน หากต้องการให้พนักงานหยุดพัก
- กำหนดช่วงเวลาหยุดพักระหว่างวัน: การสนับสนุนให้พนักงานหยุดพักสั้น ๆ ระหว่างวัน เช่น การพักช่วงกลางวัน หรือการให้มีช่วงเบรกทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง จะช่วยให้พนักงานผ่อนคลายและกลับมาทำงานได้อย่างเต็มที่
- ให้สิทธิวันหยุดพักร้อนและการลาหยุดที่เพียงพอ: HR ควรจัดให้มีสิทธิวันหยุดพักร้อนอย่างน้อยปีละ 10-15 วัน หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับนโยบายบริษัท เพื่อให้พนักงานสามารถวางแผนการพักผ่อนได้ตามความต้องการของตนเอง
- สนับสนุนการหยุดพักเมื่อพนักงานมีอาการป่วยหรือเหนื่อยล้า: หากพบว่าพนักงานมีสัญญาณของการเหนื่อยล้าหรือสุขภาพไม่ดี HR ควรสนับสนุนให้พนักงานหยุดพักหรือลางานเพื่อรักษาสุขภาพ ไม่ควรกดดันให้พนักงานทำงานในสภาพที่ไม่พร้อม
- สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมการพักผ่อน: องค์กรควรสร้างวัฒนธรรมที่ไม่เน้นการทำงานหนักเกินไป แต่เน้นการพักผ่อนและฟื้นฟูร่างกายอย่างเหมาะสม เช่น การจัดกิจกรรมเพื่อสุขภาพ การฝึกโยคะ หรือการสร้างพื้นที่พักผ่อนภายในสำนักงาน
เพราะ Wellness เป็นหน้าที่ของทุกฝ่าย
การเป็นลมของพนักงานบนรถไฟฟ้าเป็นมากกว่าปัญหาสุขภาพเฉพาะหน้า แต่เป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาด้าน Wellness ที่ HR ต้องเร่งมือในการจัดการ เพราะเมื่อสุขภาพของพนักงานได้รับการดูแลที่ดี ทั้งสุขภาพจิตและกาย ผลงานและประสิทธิภาพการทำงานจะตามมาอย่างเป็นธรรมชาติ
หาก HR สามารถสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ใส่ใจสุขภาพพนักงานได้ดี จะช่วยให้องค์กรสามารถรักษาพนักงานที่มีคุณภาพและป้องกันปัญหาด้านสุขภาพที่อาจนำไปสู่การขาดงานหรือประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลง
หาก HR ต้องการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้วย Wellness สามารถเข้ามาค้นหาได้ที่ HREX