La Marzocco แบรนด์เครื่องชงกาแฟระดับโลกบริหารคนอย่างไร

HIGHLIGHT

  • La Marzocco ได้ชื่อว่าเป็นแบรนด์เครื่องชงกาแฟชั้นนำของโลก โดดเด่นทั้งด้านคุณภาพและภาพลักษณ์ จนพูดได้ว่าแค่เห็นเครื่องชงกาแฟยี่ห้อนี้อยู่ในร้าน ก็การันตีถึงรสชาติที่ยอดเยี่ยมได้แล้ว
  • La Marzocco สรรหาบุคลากรโดยนำผู้สมัครมาเข้าค่ายพิเศษที่โรงงาน โดยมี HR คอยประกบอย่างใกล้ชิด เพราะมีแนวคิดว่าการสัมภาษณ์เพียงอย่างเดียวไม่สามารถพิสูจน์ฝีมือของผู้สมัครได้  จำเป็นต้องสำรวจภาพรวมของผู้สมัครผ่านการทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่าง
  • La Marzocco ได้รับรางวัลบริษัทที่คนอยากทำงานด้วย (Great Place to Work) ถึง 3 ปีซ้อน แสดงให้เห็นว่าองค์กรไม่ได้ใส่ใจแค่การสร้างนวัตกรรมเท่านั้น แต่ยังต้องการให้พนักงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นไปพร้อม ๆ กัน
  • La Marzocco ประสบความสำเร็จอย่างสูงในช่วงที่โควิด-19 ระบาด สามารถทำรายได้มากขึ้นถึง 60% ด้วยกลยุทธ์ “ปรับตัวตลอดเวลา”
  • กาแฟมีประโยชน์กับการทำงานมากกว่าที่คิด ทั้งด้านการสร้างวัฒนธรรมองค์กร, การเพิ่มศักยภาพให้พนักงาน และการยกระดับความสัมพันธ์ของคนในทีม

พนักงานออฟฟิศกับการดื่มกาแฟเป็นของคู่กัน ไม่ว่าจะเพื่อลดความอ่อนเพลียระหว่างวัน หรือเพื่อให้ตื่นเมื่อต้องลุยงานในช่วงค่ำ เราจึงขอพาผู้อ่านทุกคนไปรู้จักกับแบรนด์เครื่องชงกาแฟระดับโลกอย่าง La Marzocco ที่ได้ชื่อว่าเป็นองค์กรที่มีระบบบริหารจัดการบุคลากรอันยอดเยี่ยม สามารถขยายกิจการจากระดับครัวเรือนไปเป็นองค์กรระดับโลก แถมยังก้าวข้ามวิกฤตโควิด-19 อย่างสวยงาม ชนิดที่ทำกำไรได้มากขึ้นกว่าเดิมถึง 60%

La Marzocco แตกต่างจากแบรนด์เครื่องชงกาแฟอื่น ๆ อย่างไร และ HR สามารถเรียนรู้การบริหารคนอย่างไรได้บ้าง หาคำตอบได้ที่นี่

แบรนด์เครื่องชงกาแฟ La Marzocco คืออะไร มีจุดเด่นอย่างไร

La Marzocco คือแบรนด์เครื่องชงกาแฟระดับโลก เจ้าของรางวัล Great Place to Work ถึง 3 ปีซ้อน ไล่ตั้งแต่ปี ค.ศ.2020 เรื่อยมาจนปัจจุบัน โดดเด่นในเรื่องของภาพลักษณ์และการสร้างความเชื่อมั่น จนคอกาแฟหลายคนพูดว่ากาแฟดี ๆ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากปราศจากเครื่องชงยี่ห้อนี้

La Marzocco เริ่มต้นจากการเป็นโรงงานเล็ก ๆ ผลิตเครื่องชงกาแฟคุณภาพดีที่ปรับแต่งตามความต้องการของผู้ซื้อแต่ละคน ก่อนที่จะประสบความสำเร็จและขยายกิจการไปทั่วโลกทั้งในสหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, จีน, นิวซีแลนด์ และเยอรมัน โดยการขยายกิจการแต่ละครั้งไม่ว่าจะไปสู่ประเทศใดก็ตาม La Marzocco จะต้องจัดอบรมพิเศษเพื่อให้แน่ใจว่าพนักงานทุกคนมีความเข้าใจในวัฒนธรรมของเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลีที่เป็นจุดเริ่มต้นขององค์กร เพราะผู้บริหารเชื่อว่ารายละเอียดเหล่านี้คือมรดก (Heritage) ที่คนรุ่นก่อนมอบไว้ให้อย่างสมบูรณ์

มิเชล่า นาร์ดินี่ (Michela Nardini) ซึ่งเป็น HR Manager ของ La Marzocco กล่าวว่าพวกเขากำหนดให้เรื่องการออกแบบ, เทคโนโลยี, ความยั่งยืน และประวัติศาสตร์ขององค์กรเป็นแก่นในการพัฒนา โดยมีพนักงานที่ทำงานอย่างมีความสุขเติบโตควบคู่กันไป เธอเชื่อว่าการให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้ จะสร้างปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ต่อธุรกิจที่ทำอยู่แน่นอน

The 25 Rules : เช็คความพร้อมก่อนขยายกิจการ ! องค์กรของคุณโตเร็วเกินไปไหม ?

แบรนด์เครื่องชงกาแฟ La Marzocco พัฒนาด้านภาพลักษณ์องค์กร (Employer Branding) อย่างไร

La Marzocco มีแนวคิดว่า “นวัตกรรมคือความกล้าหาญที่ออกมาดี” หมายความว่าการตัดสินใจบางอย่างอาจออกมาแย่ก็ได้ แต่ตราบใดที่เราไม่ย่อท้อและพยายามลงมือศึกษาและทำอะไรใหม่ ๆ เราก็จะสร้างสรรค์สิ่งที่มีค่าขึ้นมาได้แน่นอน  ความตั้งใจนี้ได้ถ่ายทอดออกมาผ่านภาพลักษณ์ที่คอกาแฟทั่วโลกเห็นตรงกันว่า เมื่อใดที่เจอเครื่องชงกาแฟ La Marzocco อยู่ในร้าน ก็การันตีเบื้องต้นได้เลยว่ากำลังมีกาแฟอร่อย ๆ รอคุณอยู่

CEO ของ La Marzocco ในปัจจุบันอย่าง กิลโด เบอร์นาดิเนลลี (Guido Bernardinelli) ซึ่งอยู่กับองค์กรมาตั้งแต่ปี ค.ศ.2002 กล่าวว่า ปัจจุบัน La Marzocco เติบโตขึ้นมาก มีพนักงานทั้งหมดหลายร้อยคน ครอบคลุมทั้งด้านเครื่องชงกาแฟ, เครื่องบดกาแฟ,​ การผลิตเม็ดกาแฟ ถือว่าครบทั้งทั้งระบบ (Ecosystem) ของการทำกาแฟที่ดี โดยสิ่งที่ผลักดันองค์กรให้มาถึงจุดนี้ก็คือความเชื่อมั่น (Passion) ตลอดจนความเชื่อว่าจินตนาการทั้งหมดสามารถกลายเป็นจริงได้หากพนักงานทุกคนไม่หยุดพยายาม

เขาให้ข้อสรุปที่น่าสนใจว่า “พนักงานของ La Marzocco จะตื่นมาทุกวันโดยคิดว่าจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างไร โดยที่ยังคงสนุกกับกระบวนการทำงานระหว่างทาง” ดังนั้นจึงไม่แปลกที่แม้ La Marzocco จะประสบความสำเร็จในฐานะแบรนด์เครื่องชงกาแฟระดับโลกแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ มาสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับวงการอยู่ตลอดเวลา

La Marzocco มองว่าผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นมีจุดเด่นแตกต่างกัน แต่ก็มีประโยชน์และความงดงามในแบบของตัวเอง เปรียบดั่งงานประติมากรรมดี ๆ สักชิ้น ดังนั้นพวกเขาต้องพาสินค้าของตนไปให้สุดทุกทาง ทั้งด้านของการออกแบบ ตลอดจนประสิทธิภาพการใช้งาน เช่นเมื่อทีมค้นคว้าของบริษัทค้นพบว่ามีผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนเพียงราว 4% เท่านั้นที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและใช้ประโยชน์จากมันได้ ทาง La Marzocco ก็เริ่มวางแผนคิดค้นเครื่องชงกาแฟที่สามารถเชื่อมต่อโลกออนไลน์ได้ทันที โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ La Marzocco ยกระดับไปเป็น “ตัวกลาง” สำหรับเชื่อมต่อชุมชน (Community) ของคนรักกาแฟในโลกนี้ได้จริง ๆ

ความมุ่งมั่นที่ไม่เคยหยุดนี้เองที่ทำให้ La Marzocco อยู่คู่กับคำว่า “กาแฟดี” กลายเป็นภาพลักษณ์องค์กร (Employer Branding) ที่ใครก็ลบล้างไม่ได้ การันตีจากยอดขายในปี ค.ศ.2021 ที่กำไรไปได้กว่า 210 ล้านยูโร แม้ปีดังกล่าวจะเป็นช่วงที่ยากลำบากของหลายบริษัทจากสถานการณ์โควิด-19 ก็ตาม

เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ และทำให้คนทั่วไปเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของ La Marzocco ง่ายขึ้น บริษัทได้สร้างพื้นที่เพื่อการศึกษาชื่อ Accademia del Caffè Espresso ในพื้นที่โรงงานเดิม โดยแบ่งส่วนหนึ่งเป็นพื้นที่ให้ความรู้สำหรับพนักงานและบุคคลภายนอกที่สนใจ และอีกส่วนหนึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่อธิบายเรื่องวัฒนาการของเครื่องชงกาแฟ, เครื่องคั่วกาแฟ รวมถึงประวัติศาสตร์อื่น ๆ ที่สำคัญ เพราะ La Marzocco มองว่าเครื่องชงกาแฟดี ๆ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากปราศจากความรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในอดีต ข้อมูลเหล่านี้เป็นมรดกตกทอด (Heritage) ที่มีค่าที่สุดขององค์กร

La Marzocco ยังมีงานเพื่อสังคมอื่น ๆ เช่นโครงการ Songwa Project ที่ไปร่วมมือกับบริษัทเครื่องบดกาแฟ Mahlkönig และเครื่องคั่วกาแฟ Probat เพื่อให้ความรู้กับคนในประเทศแทนซาเนีย (Tanzania) เพราะคิดว่าขณะที่พวกตนทำธุรกิจกาแฟอยู่นั้น ยังมีคนกลุ่มใดอีกบ้างที่ใช้ชีวิตโดยมีกาแฟเป็นศูนย์กลางเช่นเดียวกัน แนวคิดนี้ทำให้เกิดความร่วมมือในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ผลิตเม็ดกาแฟให้ดีขึ้น ซึ่งจุดที่ได้รับเสียงชื่นชมที่สุดคือการสร้างโรงเรียนที่ช่วยให้ลูกหลานของเกษตรกรกว่า 300 คนสามารถเข้าถึงการศึกษาที่ดีขึ้นกว่าเดิม

HR มีข้อสงสัยหรือคำถามเกี่ยวกับประเด็นนี้

Q&A HR Board

Q: อยากเริ่มต้นทำ Employer Branding ภายในองค์กร ขอคำแนะนำหน่อยครับ

อยากได้วิธีที่สามารถลงมือทำได้เลย และวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม ขอบคุณครับ

A: วิธีที่ดีคือการสื่อสารให้คนภายนอกเห็นว่าองค์กรของเรามีจุดเด่นอย่างไร

การพัฒนา Employer Branding สามารถเริ่มจากการสื่อสารกับคนที่กำลังหางาน เพื่อทำให้คนเหล่านั้นเห็นภาพมากขึ้นว่าองค์กรของเราโดดเด่นแตกต่างจากที่อื่นอย่างไร โดยคอนเท้นท์ที่เหมาะควรเกี่ยวกับบรรยากาศในการทำงาน, สวัสดิการ, กิจกรรม หรืออาจเป็นบทสัมภาษณ์พนักงานดีเด่นก็ได้

,,, (คลิกดูคำตอบทั้งหมด👇)

แบรนด์เครื่องชงกาแฟ La Marzocco มีวิธีบริหารจัดการคนอย่างไร

ยิ่งเป็นแบรนด์ระดับโลก กลยุทธ์การบริหารจัดการคนก็ยิ่งแปลกต่างและยกระดับมากกว่าองค์กรทั่วไป ดังนั้นการเรียนรู้วิธีการจากองค์กรแบบนี้จะช่วยให้เราคิดค้นนโยบายหรือออกแบบสวัสดิการให้ตรงกับความต้องการของทุกฝ่ายได้ดีกว่าเดิม

เราเรียนรู้อะไรจากแบรนด์เครื่องชงกาแฟ La Marzocco ได้บ้าง หาคำตอบไปพร้อมกันที่นี่

Career Camp วิธีสรรหาบุคลากร (Recruiting Process) ของ La Marzocco

ขณะที่องค์กรส่วนใหญ่ใช้วิธีคัดเลือกใบสมัครและสัมภาษณ์แบบเดิม ๆ เพื่อให้ได้พนักงานที่ตรงตามมาตรฐานสากลมากที่สุด แต่ที่ La Marzocco นั้นพวกเขาต้องการได้คนที่เข้าใจทั้งวัฒนธรรมองค์กร ตลอดจนวัฒนธรรมของการดื่มกาแฟที่ถือเป็นรากฐานสำคัญที่จะนำไปสู่การบริการที่ดี  ดังนั้นพวกเขาจึงจัดตั้งโครงการ Career Camp ขึ้นมาเพื่อยกระดับการสรรหาบุคลากรให้เข้มข้นขึ้น เหมาะสำหรับคัดเลือกพนักงานทุกแผนก ไม่ว่าจะเป็นพนักงานด้านการค้นคว้าและพัฒนา (Research and Development : R&D), พนักงานขาย (Sales), พนักงานด้านเทคโนโลยี (ICT), การเงิน (Financial), การตลาด (Marketing) หรือแม้แต่แผนกบริการหลังการขาย (After Sales) ก็ตาม

สำหรับโครงการนี้ ทีมสรรหาจะจะคัดกรองผู้สมัครประมาณ 600 คนจากทั่วโลกให้เหลือ 43 คนเพื่อเดินทางไปเข้าแคมป์พิเศษที่เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นเมืองที่ให้กำเนิดแบรนด์เครื่องชงกาแฟแห่งนี้ โดยการเข้าค่ายจะใช้เวลาทั้งหมด 2 วันเต็ม ครอบคลุมทั้งการสัมภาษณ์งาน, การเรียนรู้กระบวนการทำงานและวัฒนธรรมองค์กร รวมถึงการซึมซับบรรยากาศในสภาพแวดล้อมของ La Marzocco โดยจุดเด่นที่สุดคือการที่ผู้สมัครต้องนอนในเต็นท์พักแรมซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าโรงงานอย่างเท่าเทียมกัน

เจียดา บิออนดิ (Giada Biondi) ผู้ดูแลด้านการสื่อสารและประสานงานของ La Marzocco กล่าวว่า โครงการ Career Camp จะถูกควบคุมโดย HR มืออาชีพอย่างใกล้ชิด ซึ่งตลอดระยะเวลาในแคมป์นั้น ผู้สมัครจะได้เรียนรู้วัฒนธรรมการดื่มกาแฟของชาวอิตาลี ผ่านการเดินทัวร์ภายในโรงงาน, การชิมกาแฟเอสเปรสโซ และการเสวนาจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรง

เธอกล่าวว่าปกติแล้วขั้นตอนการสัมภาษณ์จะเป็นการนั่งโต๊ะตรงข้ามกัน และพูดคุยในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน แต่ La Marzocco มองว่าการสัมภาณ์งานควรจะให้มิติที่หลากหลายกว่านั้น เหตุนี้ Career Camp จึงกลายเป็นช่องทางที่ HR Recruiter จะได้ศึกษาในภาพรวมว่าผู้สมัครแต่ละคนมีทักษะอื่นอย่างไรบ้าง ทั้งด้านการเข้าสังคม, การสื่อสาร, การทำงานเป็นทีม, ความคิดสร้างสรรค์, การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และการปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่ ๆ องค์ประกอบเหล่านี้จะทำให้ HR เห็นทักษะของผู้สมัครในแง่มุมอื่น ๆ นอกเหนือจากด้านวิชาการและข้อมูลปากเปล่าที่ระบุในใบสมัคร 

การพาผู้สมัครมาอยู่ด้วยกันในองคาพยพขององค์กรจะช่วยคัดกรองอีกขั้นว่า La Marzocco จะได้พนักงานที่ช่วยขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าได้จริง เพราะ La Marzocco เชื่อว่าผู้สมัครแต่ละคนจะแสดงความสามารถได้ดีในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน เหตุนี้การสร้างสถานการณ์หลายรูปแบบในขั้นตอนคัดเลือกจะช่วยให้ HR เห็นศักยภาพที่แท้จริงของผู้สมัคร ซึ่งบางทีอาจทำให้ผู้สมัครได้รับการว่าจ้างในตำแหน่งอื่นที่ไม่ได้สมัครเข้ามาก็ได้ และท้ายสุด La Marzocco ต้องการแน่ใจว่าแม้ผู้สมัครบางรายจะไม่ถูกเลือก แต่พวกเขาก็จะได้ประสบการณ์และความรู้ที่มีค่ากลับไป ไม่เสียเวลาเข้าแคมป์โดยสูญเปล่าแน่นอน

La Marzocco กับสวัสดิการด้านการเรียนรู้เพื่อครอบครัวของพนักงาน

La Marzocco เป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับเรื่องครอบครัวของพนักงานมาก เพราะถือเป็นรากฐานของความสุขที่สามารถต่อยอดไปเป็นความสำเร็จขององค์กร พวกเขาให้ความสำคัญกับการพัฒนาใน 3 หัวข้อหลักได้แก่คุณภาพผลิตภัณฑ์ (Quality) , การสร้างนวัตกรรม (Innovation) และความดีงาม (Excellence) ภายใต้บรรยากาศของความเป็นครอบครัว

La Marzocco มีโครงการ “คนคือศูนย์กลาง”​​ (People at The Center) คือการพัฒนาทรัพยากรคนให้มีศักยภาพยิ่งขึ้น  โดยองค์กรจะเปิดโอกาสให้พนักงานเรียนรู้ศาสตร์ที่สนใจทั้งเรื่องการทำกาแฟและเรื่องอื่น ๆ ผ่านการอบรมแบบกลุ่มและแบบส่วนตัว (Personal Training) 

La Marzocco ยังมีโครงการ Kids Playroom เพื่อให้ความรู้กับเด็ก ๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกหลานของพนักงานหรือเด็กในชุมชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัย,​ สร้างความประทับใจเกี่ยวกับกาแฟให้คนรุ่นใหม่​ รวมถึงเป็นการนำวัสดุจากโรงงานของ La Marzocco ที่ไม่ได้ใช้แล้วมารีไซเคิลให้เกิดประโยชน์สูงสุด

โครงการที่น่าสนใจอย่างสุดท้ายที่เราอยากพูดถึงคือโครงการ Leone d’Oro หรือ Golden Lion Awards ที่ La Marzocco จะให้ทุนการศึกษาตั้งแต่เกรด 8 (ประมาณ ม.2 ตามระบบไทย) จนจบมัธยมศึกษา แก่สมาชิกครอบครัวของพนักงาน La Marzocco ที่มีผลการเรียนดี ถือเป็นรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้พนักงานรู้สึกว่าการทำงานในแต่ละวันไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อความก้าวหน้าของตนเองหรือองค์กรเท่านั้น แต่ยังสามารถสร้างคุณค่าให้กับครอบครัวที่รักอีกด้วย

La Marzocco กับนโยบายด้านความเท่าเทียมของมนุษย์

ในยุคที่ใคร ๆ ก็พูดถึงความเท่าเทียมและการยอมรับความแตกต่าง (Diversity & Equity) La Marzocco ก็มีโครงการที่สร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์เรื่องนี้โดยตรงเช่นกัน พวกเขาเชื่อว่าการขอให้ทุกคนยอมรับความเห็นต่างแบบปากเปล่านั้นไม่ใช่วิธีที่ได้ผล แต่เราควรเริ่มจากการปลูกฝังค่านิยมที่ทุกคนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ก่อนต่างหาก

เหตุนี้ La Marzocco จึงร่วมงานกับบริษัทชั้นนำหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น Ourania หรือ TMI Academy สองผู้คร่ำหวอดในแวดวงเสวนาอบรมเรื่องความเท่าเทียมของมนุษย์ โดยหวังว่าคนเราจะมองผู้อื่นโดยปราศจากอคติได้ในเร็ววัน

นอกจากนี้ La Marzocco ยังได้ร่วมมือกับหน่วยงานและโรงเรียนต่าง ๆ เพื่อสร้างอาชีพให้กับคนที่มีปัญหาหรือถูกกระทำจากสังคมไม่ว่าจะด้านร่างกายหรือจิตใจ  และยังมีเม็ดเงินจำนวนหนึ่งคอยสนับสนุนพนักงานที่มีปัญหาสุขภาพ ตลอดจนการต่อสู้คดีทางกฎหมาย โดยการอบรมจะถูกจัดขึ้นเป็นระยะเพื่อกระตุ้นและสร้างความรู้ความเข้าใจซึ่งจะนำไปสู่แนวทางปฏิบัติในระยะยาว

แบรนด์เครื่องชงกาแฟ La Marzocco มีวิธีรับมือกับปัญหา (Crisis Management) อย่างไร

ในการทำงานนั้น จะคิดถึงแต่ความสำเร็จหรือการก้าวไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องคิดเผื่อด้วยว่าหากมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น พนักงานของเราจะสามารถรับมือกับมันได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ เพราะแท้จริงแล้วการปกป้ององค์กรนั้นมีความสำคัญไม่ต่างจากการพัฒนาองค์กร การเรียนรู้วิธีรับมือกับปัญหา (Crisis Management) จากองค์กรชั้นนำจึงเป็นแนวทางที่ช่วยให้เรามีกรณีศึกษา (Case Study) เอาไว้ประยุกต์ใช้เมื่อต้องประสบเหตุไม่คาดฝันเข้าในสักวัน

La Marzocco รับมือกับปัญหาอย่างไร ? 

La Marzocco กับการรับมือโควิด-19

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า La Marzocco ประสบความสำเร็จอย่างสูงในปีค.ศ.2021 ซึ่งทำรายได้มากกว่าปีก่อนหน้าถึง 60% ทั้งที่อยู่ระหว่างการระบาดครั้งใหญ่ของโควิด-19 ในที่นี้ผู้บริหารของ La Marzocco กล่าวกับ World Coffee Portal ว่าสิ่งสำคัญที่สุดในการรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ คือการมองโลกในแง่ดี (Optimistic) และความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสถานการณ๋์ (Adaptation Skill) 

เราต้องรู้ว่าวิธีทำงานแบบเดิมจะไม่ได้ผลอีกต่อไป กลับกันเราต้องรู้ว่าสถานการณ์แบบไหนเหมาะกับกลยุทธ์แบบไหน ซึ่งที่ La Marzocco จะเริ่มต้นวางแผนด้วยการตั้งโจทย์ว่า “เราจะพัฒนาในเรื่องใดก่อน” แล้วให้ความสำคัญกับเรื่องนั้นจนสำเร็จ คอยแก้ไขไปทีละอย่างจนองค์กรมีความพร้อมสำหรับการทำงานในส่วนที่ใหญ่ขึ้นแล้วค่อยก้าวต่อไป

ระหว่างที่โควิด-19 ระบาด La Marzocco พบว่าแม้ประเทศบางส่วนจะยังมีนโยบายล็อกดาวน์ที่เข้มข้น แต่ก็มีบางประเทศที่ผ่อนปรนและเปิดโอกาสให้คนซื้ออาหารที่ร้านกลับมากินที่บ้านได้แล้ว พวกเขาจึงทำการตลาดโดยเน้นที่กลุ่มดังกล่าวเป็นหลัก ซึ่งช่วยให้องค์กรได้เปิดตลาดใหม่ แถมยังสร้างผลกำไรได้เพียงพอต่อการเลี้ยงดูพนักงานทุกคน 

La Marzocco กับการรับมือกรณีเหยียดผิว (Racism) ภายในองค์กร

แม้จะมีการวางแผนนโยบายที่รัดกุมแค่ไหน แต่ในปีค.ศ. 2020 ที่ผ่านมา La Marzocco ได้รู้ว่ามีพนักงานส่วนหนึ่งที่ประสบปัญหาด้านการเหยียดผิวภายซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ในแง่มนุษยธรรม ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อเสถียรภาพและความเชื่อมั่นภายในองค์กร ดังนั้นพวกเขาจึงออกแถลงการณ์ทันทีเมื่อรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้น

ในจดหมายเปิดผนึก La Marzocco แจ้งว่าองค์กรจะสืบสวนเรื่องนี้โดยด่วน และจะติดต่อหาผู้ที่ถูกกระทำโดยตรงเพื่อหาแนวทางช่วยเหลือ จากนั้นก็แสดงความขอโทษต่อคนผิวสี (Black Community) พร้อมตอกย้ำว่าองค์กรมีนโยบายสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ, เชื้อชาติ และสีผิวอย่างจริงจัง ก่อนทิ้งท้ายถึงแนวทางแก้ปัญหาอย่างชัดเจนเพื่อ ให้เห็นถึงความตั้งใจขององค์กร ดังนี้

  • La Marzocco จะสืบสวนเรื่องนี้อย่างละเอียดเพื่อตรวจสอบว่าปัญหาเหล่านี้เริ่มต้นอย่างไร หรือแฝงตัวอยู่ตรงไหนอีกบ้าง และจะลงมือแก้ไขทันทีเมื่อตรวจพบข้อมูล
  • La Marzocco จะปรับปรุงนโยบายและการบังคับใช้ให้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม
  • La Marzocco จะว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญระดับสูงมาให้ความรู้กับพนักงานขององค์กรทุกคนทั่วโลก เพื่อยกระดับการสรรหาพนักงาน, การฝึกอบรม และการทำงานแบบองค์รวม
  • La Marzocco จะตรวจสอบนโยบายนี้เป็นระยะเพื่อให้ครอบคลุมและเท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกจริง ๆ

แม้การแก้ปัญหาจะอาศัยการพิสูจน์ตัวเองมากกว่าแค่จดหมายเปิดผนึก แต่อย่างน้อย La Marzocco ก็ไม่ได้หยุดนิ่งและปล่อยให้ปัญหาเกิดขึ้นแบบเลยตามเลย ดังนั้นหากคุณประสบปัญหาที่คล้ายกัน ลองตั้งสติและสู้กับมันอย่างจริงใจดูสักตั้ง รับรองว่าจะทำให้เกิดวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแรงกว่าเดิมแน่นอน

ประโยชน์ของกาแฟกับการทำงาน

พูดถึงเครื่องชงกาแฟมาทั้งบทความ เราขอปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจว่าการดื่มกาแฟสามารถช่วยให้เราทำงานดีขึ้นได้อย่างไร ไม่แน่ว่าอ่านจบแล้ว คุณอาจจะอยากซื้อเครื่องชงกาแฟมาเป็นสวัสดิกาให้พนักงานภายในออฟฟิศก็ได้

National Coffee Blog เผยผลสำรวจที่ระบุว่าพนักงานออฟฟิศถึง 68% ดื่มกาแฟระหว่างวัน และหากองค์กรไม่มีเครื่องชงกาแฟ พวกเขาก็จะไปซื้อที่คาเฟ่ใกล้ ๆ แทน ทำให้เวลาทำงานบางส่วนได้ถูกช่วงชิงไปโดยปริยาย ดังนั้นการหาเครื่องชงกาแฟเล็ก ๆ มาบริการจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะนอกจากเรื่องความสะดวกสบายและทำให้ไม่ง่วงแล้ว การดื่มกาแฟวันละ 2 แก้วยังช่วยให้สมองทำงานดีขึ้น, จำเรื่องต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ยิ่งถ้าจัดพื้นที่ส่วนกลางให้ทุกฝ่ายมาดื่มกาแฟและพูดคุยกัน ก็จะช่วยสร้างวัฒนธรรมด้านการสื่อสารภายในองค์กรให้ดีขึ้นได้อีกด้วย

จะเห็นว่าวิธีการพัฒนาองค์กรนั้นมีมากมาย ไม่จำเป็นต้องเป็นหลักสูตรการเรียนรู้ตามงานเสวนาเพียงอย่างเดียว เพราะแค่เครื่องชงกาแฟเล็ก ๆ ก็สามารถเปลี่ยนออฟฟิศของคุณให้กลายเป็นสถานที่แห่งความสุขได้เช่นกัน และถ้าคุณอยากได้ไอเดียดี ๆ แบบนี้แต่ไม่รู้ว่าจะไปหาที่ไหน เราแนะนำให้ใช้บริการ HR Consulting ที่หาได้ง่าย ๆ จาก HREX แพลตฟอร์มแรกของเมืองไทยที่รวบรวมบริการและผลิตภัณฑ์ HR ไว้มากกว่า 100 อย่าง จะงานแบบไหน จะเล็กหรือใหญ่ ที่นี่มีครบ คลิกเลย

บทสรุป

La Marzocco คือแบรนด์เครื่องชงกาแฟที่จับตลาดสินค้าราคาสูง แต่แทนที่จะนำเสนอว่าสินค้าดังกล่าวมีวิธีใช้งานอย่างไร ใช้วัสดุแบบไหน พวกเขากลับพยายามนำเสนอในอีกมุมหนึ่งเพื่อทำให้ผู้ซื้อเห็นภาพว่าการมีเครื่องชงกาแฟนี้ ไม่ว่าในบ้านหรือในร้านค้า จะช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นได้อย่างไรบ้าง วิธีนี้คือการทำธุรกิจโดยเน้นการสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ (Employer Branding) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่แบรนด์ระดับโลกมักเลือกใช้

ในด้านการบริหารคน La Marzocco มีกลยุทธ์สรรหาบุคลากรที่โดดเด่น เพราะเคยเป็นเพียงธุรกิจระดับครัวเรือนมาก่อน จึงเข้าใจดีว่าการเลือกและพัฒนาพนักงานแต่ละคนส่งอิทธิพลต่อการขยายองค์กรมากแค่ไหน ดังนั้นพวกเขาจึงใส่ใจในเรื่องคนเป็นพิเศษ จนกล่าวได้ว่าความสำเร็จทั้งหมดที่แบรนด์เครื่องชงกาแฟนี้ได้รับ ล้วนมีรากฐานมาจากการวางแผนที่ดีทั้งสิ้น 

หากคุณไม่เชื่อ ลองไปร้านกาแฟดี ๆ แถวบ้านดูสิ รับรองว่าจะเจอเครื่องชงกาแฟของ La Marzocco ตั้งอยู่แน่นอน

ผู้เขียน

HREX.asia

HREX.asia

Connect People to the Best HR Solution เพื่อสนับสนุนการเติบโตขององค์กรผ่านผู้คน

บทความที่เกี่ยวข้อง