หลังจากงานวันแรกประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม ในวันที่ 2 ของงาน CIS 2024 – Corporate Innovation Summit ที่จัดขึ้นโดย RISE สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กร ก็ยังคงสานต่อคุณภาพ มีงานเสวนาภายใต้ธีม “Redefining Growth and Sustainability in the AI Era” ที่เนื้อหาอัดแน่นไปด้วยเรื่องน่าสนใจมากมายเช่นเคย
และแน่นอนว่า HREX ก็ยังคงเกาะติดงานนี้ไม่ไปไหนในฐานะ Media Partner ใครที่พลาดงานวันนี้ไม่ต้องเสียดายไป เพราะเราขอสรุปสาระน่ารู้ที่คนทำงาน โดยเฉพาะ HR และผู้นำองค์กรควรต้องรู้อย่างยิ่งมาให้ได้อ่านกันแล้ว ดังต่อไปนี้
Escaping the Innovation Zombie Trap: A Leader’s Guide to Keeping Employee Ideas Alive
Session แรกของงานวันที่ 2 ได้คุณจิน รฐิยา อิสระชัยกุล Chief Commercial Officer, RISE มาบรรยายถึงบทบาทของผู้นำว่ามีความสำคัญมากในการกำจัด ‘ซอมบี้’ สิ่งที่ดูเหมือนจะมีแต่ในหนังสยองขวัญ แต่จริง ๆ แล้วมันอาจอยู่ใกล้กับเรามากกว่าที่คิด เพราะอยู่ในออฟฟิศของพวกเราทุกคน
สาระสำคัญของการบรรยายมีดังต่อไปนี้
- การที่องค์กรจะเดินหน้าต่อไปได้ จำเป็นต้องอาศัยไอเดียใหม่ ๆ เสมอ ไอเดียเหล่านั้นจะต้องตอบโจทย์กับแก่นของธุรกิจ จึงจะช่วยขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโต สามารถขยายกิจการได้ตามเป้า ซึ่งแน่นอนว่าไอเดียจะมาจากใครไม่ได้นอกจากพนักงาน ซึ่งเปรียบได้กับฟันเฟืองชิ้นสำคัญขององค์กร หากความคิดของพนักงานไม่สำคัญ เราคงไม่เห็นหลายองค์กรจัดกิจกรรมให้พนักงานมีพื้นที่ได้ปล่อยของออกมา เช่น Hackathorn หรือ Shark Tank เป็นต้น
- แต่ในการทำงานจริงเราจะพบเจอพนักงานมีไอเดียที่ดี นำเสนอให้ผู้บริหารได้รับทราบตลอดเวลา ทุกคนรู้ว่าไอเดียนี้มีประโยชน์ แต่เพราะอะไรสักอย่าง ไอเดียนั้นกลับไม่เคยถูกนำไปใช้งานจริง ไม่มีการพัฒนาต่อ ไอเดียเหล่านั้นอาจเตะตาคนจำนวนมาก อย่างไรก็ตามกลับไม่เคยได้รับการสนับสนุน หรือให้ทรัพยากรในการพัฒนาอย่างเต็มที่ บางกรณีอาจไม่มีคนรู้ด้วยซ้ำว่า ใครคือผู้ตัดสินใจในขั้นสุดท้ายว่าจะพัฒนาไอเดียนี้อย่างไร พอเจอแบบนี้มากเข้าก็เป็นผลให้คนที่นำเสนอไอเดียเริ่มหมดพลัง หมดกำลังใจ จะเสนอความคิดเห็นใหม่ ๆ ไปทำไม ในเมื่อทำแล้วไม่ก่อให้เกิดผลด้านบวก
- นี่คือสัญญาณอันตรายว่าองค์กรกำลังเผชิญกับ Innovation Zombies สถานการณ์ที่ไม่เพียงทำให้พนักงานรู้สึกซังกะตาย แต่ยังเผาผลาญทรัพยากรขององค์กรอย่างเปล่าประโยชน์โดยไม่ทำให้องค์กรเดินหน้าไปถึงไหน
- ถ้าพนักงานเริ่มเบื่อ เกิด Zombie Mindset จะเป็นสิ่งที่อันตรายต่อองค์กร จะทำลายวัฒนธรรมองค์กรที่ดีงาม อย่าคิดว่าจะส่งผลต่อพนักงานคนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่นี่คือโรคระบาดที่จะส่งผลถึงทุกคน ทำให้ทุกคนซังกะตายไปพร้อมกัน
- ผู้นำมีบทบาทสำคัญมากที่จะช่วยนำพนักงานกลับมาจากสภาพการเป็นซอมบี้ กลับมาเป็นคนที่เปี่ยมด้วยความคิดสร้างสรรค์ ผู้นำต้องรู้ตัวเองด้วยว่าตัวเองเป็นคนที่ทำให้เกิดซอมบี้ขึ้นมาแต่แรกไหม หากรู้แล้วสิ่งที่ต้องทำต่อไปก็คือต้องหากลยุทธ์การทำงานที่ชัดเจน ทบทวนว่าที่ผ่านมามีการสื่อสารไปถึงพนักงานทุกคน ให้มองเห็นเป้าหมายเดียวกัน วิสัยทัศน์เดียวกันหรือไม่ นอกจากนั้นต้องพิจารณาด้วยว่าโครงสร้างองค์กรสนับสนุนให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมใหม่ ๆ แค่ไหน องค์กรมีความยืดหยุ่นในการทำงานแค่ไหนด้วย เป็นต้น
- คำแนะนำของคุณจินคือ ผู้นำต้องหาทางให้ทีมคิดค้นนวัตกรรม หรือพนักงานที่เป็นมันสมอง สามารถเข้าถึงผู้บริหาร บอร์ด ผู้ตัดสินใจครั้งสุดท้ายให้ได้ ทำอย่างไรก็ได้ให้มี ‘ตัวกลาง’ ขวางกั้นระหว่างทั้งคู่น้อยที่สุด
- อีกวิธีคือการหา Innovation Sponsorship ผู้ที่คอยสนับสนุนทีมที่เป็นมันสมองขององค์กรให้ทำงานคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ออกมาอย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งที่คนที่ทำงานนี้ควรต้องทำมีดังนี้
- รู้ว่าคนในทีมเป็นใคร ทำไมพวกเขาถึงมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมา
- ให้ความไว้วางใจคนในทีมอย่างเต็มที่
- วางทิศทางการทำงานให้สอดคล้องไปกับกลยุทธ์ขององค์กร
- ตั้งเป้าหมายว่า จะทำงานนี้ให้ประสบความสำเร็จภายในช่วงเวลาเท่าใด
- หมั่นตรวจสอบกระบวนการทำงานด้วยว่า ได้ประสิทธิภาพเพียงใด
- เวลาเจออุปสรรค ต้องตัดสินใจได้ว่า จะหยุดหรือเดินหน้าไปทิศทางใด จะไปต่อหรือจะสู้ด้วยวิธีการใด
- แต่หากถึงจุดที่ต้องยุติโครงการนี้จริง ๆ จงทำให้ทุกคนมั่นใจว่า เราแค่หยุดการทำงานในโปรเจ็คต์นี้ แต่ไม่ได้หยุดความคิดของทุกคน เราต้องไม่ทำให้พวกเขารู้สึกเสียขวัญ และเสียกำลังใจที่จะคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมา
- ผู้นำมีส่วนมากเป็นผู้สร้างซอมบี้ขึ้นมา แต่ก็เป็นคนที่สามารถกำจัดมันได้ด้วย ขึ้นอยู่กับตัวผู้นำแล้วว่าจะหยุดสร้างมันเมื่อไหร่ แล้วจะทำลายมัน เรียกคืนความเป็นมนุษย์ที่เปี่ยมด้วยความคิดสร้างสรรค์กลับมาอย่างไร
Future Horizons: Navigating the Global Investment Landscape of 2025
Session นี้เป็นการเสวนาแลกเปลี่ยนทัศนะกันเรื่องเทรนด์การลงทุนทำธุรกิจในระดับโลก ว่าในปี 2025 เป๋นต้นไป เรื่องใดจะส่งผลด้านบวกต่อโลกใบนี้มากที่สุด โดยมีวิทยากรมากความสามารถมาร่วมแชร์ทัศนะ ประกอบด้วย
- คุณไมเคิล กรีซีลส์ Founder & Managing Partner จาก Antares Ventures
- คุณริชาร์ด หลี่ Partner จาก Gate Ventures
- คุณแซม ตันสกุล Managing Director จาก Krungsri Finnovate
- คุณเจษฎา สุขทิศ CEO & Co-founder at Finnomena Group
- คุณไพลิน วิชากูล COO & Partner, Venture Capital, SCB 10X
- คุณพงษ์สุข หิรัญพฤกษ์ CEO, Show No Limit ทำหน้าที่พิธีกร
สาระสำคัญของการเสวนามีดังต่อไปนี้
- โลกการลงทุนทางธุรกิจเปลี่ยนไปตลอดเวลา หากถามถึงเทรนด์ที่ผู้คนกำลังสนใจในตอนนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าเป็นเรื่อง Deeptech เรื่องที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี ซึ่งไม่เพียงแค่ลงทุนในสาย AI แต่ยังมีการต่อยอดลงทุนไปทางด้าน Med Tech, Bio Tech โฟกัสไปที่การลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อศึกษาและหาทางช่วยให้มนุษย์มีอายุยืนยาวขึ้นด้วย
- ในระยะหลัง หลายประเทศหันมาสนใจเรื่อง Carbon Tax สนใจเรื่องที่เกี่ยวกับความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริหารองค์กรทุกคนในไทยต้องให้ความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทใหญ่หรือสตาร์ทอัปก็ตาม เพราะการทำธุรกิจต่อจากนี้เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องโฟกัสเรื่องความยั่งยืนมากขึ้น มิฉะนั้นจะไม่สามารถทำธุรกิจกับใครได้เลย
- AI และ LLM ตอนนี้ถูกพัฒนามากขึ้น หลายบริษัทลงทุนสร้างผลิตภัณฑ์และบริการด้าน AI ถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ไม่แพ้ตอนมีเทคโนโลยีระบบ Cloud เลย ปฏิเสธไม่ได้ว่าที่หลายองค์กรลงทุนในบริการนี้ พยายามชูเป็นจุดขาย เพราะมันสามารถขายได้ง่าย นำมาซึ่งเม็ดเงินได้ง่าย เห็นเป็นรูปธรรมชัดมากว่า จะนำไปใช้งานอย่างไร มีประโยชน์อย่างไร ตอนนี้บริษัทใหญ่ ๆ ในไทยตอนนี้โอบรับเทคโนโลยี AI มาใช้กันหมดแล้ว
- ในทศวรรษต่อไปจะยิ่งเป็นยุคสมัยที่น่าสนใจมาก ๆ ว่าการลงทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีจะนำพาไปสู่นวัตกรรมใหม่ ๆ อะไรบ้าง เราจะเห็นบริการซอฟต์แวร์หลากหลายรูปแบบ ช่วยมอบคุณค่าและแก้ปัญหาที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อน ช่วยทุ่นแรงทุกคน จากที่เคยทำงานแล้วต้องทุ่มกำลังคนมาก ๆ เปลี่ยนเป็นการใช้พลังน้อยลง แล้วทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- แต่ในขณะที่โลกนี้กำลังพยายามสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ เพื่อเปลี่ยนโลก เราก็จะยิ่งเห็นการลงทุนทางเทคโนโลยีที่มีความ ‘Niche’ ขึ้น โฟกัสในสิ่งที่เล็ก ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น โฟกัสในสิ่งที่เป็นจิตวิญญาณ เพื่อยกระดับจิตวิญญาณของผู้คนมากขึ้น โฟกัสเรื่องชีวิตประจำวันของผู้คน ช่วยผู้คนให้มีความสุขมากขึ้น เป็นการลงทุนใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างชุมชนที่ผู้คนมีความสัมพันธ์อันดีมากขึ้น
- สุดท้าย อีกสิ่งที่โลกกำลังสนใจคือการลงทุนกับความรับผิดชอบต่อโลก ต่อสิ่งแวดล้อม ต่อสังคม เช่น ลงทุนด้านพลังงานสะอาด ซึ่งจะนำมาสู่ความยั่งยืนมากขึ้น หากองค์กรไหนมีแนวทางที่สอดคล้องไปกับการสร้างความยั่งยืนให้โลก จะเตะตาองค์กร แล้วนำไปสู่การพัฒนาต่อยอดเทรนด์ใหม่ ๆ ตามมา แตกต่างจากองค์กรที่ไม่สนเรื่องการดูแลรักษาโลก ที่เมื่อถึงจุดหนึ่งจะไม่มีใครอยากร่วมงานด้วยอีกต่อไป
From Dalian to Davos: Corporate Innovation Insights and Lessons Learned
Session ต่อไป คุณท็อป – จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา Founder & Group CEO จาก Bitkub Group มาเล่าอินไซต์จากการพบปะกับผู้นำองค์กรระดับโลกในงาน World Economic Forum ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ว่ามีบทเรียนอะไรที่คนไทยต้องรู้ เพื่อพาองค์กรไปสู่การเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจใหม่ให้จงได้
สาระสำคัญของการบรรยายมีดังต่อไปนี้
- เมืองดาวอส เป็นเมืองศูนย์รวม และเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มชนชั้นนำที่มีอำนาจในการควบคุมการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีเพียงไม่กี่บริษัทที่จะเข้าไปถึงจุดนั้นได้ องค์กรที่จะได้รับเกียรตินี้ต้องมีรายได้มหาศาล มีการเติบโตมหาศาล ทำให้หลายองค์กรแข่งขัน และวางแผนกันอย่างแข็งขันว่าควรต้องวาวแผนกลยุทธ์อย่างไร เพื่อจะไปถึงจุดนั้นให้ได้
- โลกทุกวันนี้ไม่เหมือนแต่ก่อน โลกเคยแบ่งออกเป็นเศษเสี้ยว (Fragment) ต่าง ๆ แต่ในขณะเดียวกันก็มีการรวมตัว รวมกลุ่มกันอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในระดับภูมิภาค โดยการรวมตัวกันอย่างแข็งขันสามารถอำนาจการต่อรองกับมหาอำนาจได้อย่างน่าสนใจ
- นั่นทำให้ในยุคสมัยหนึ่ง ประเทศไทยอาจดูไม่น่าดึงดูดในสายตาโลก แต่การรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนกับประเทศในภูมิภาค ก็ทำให้เกิดความแข็งแกร่งขึ้นมา มหาอำนาจมองเห็นว่าการเข้ามาทำตลาด การเข้ามาเจาะกลุ่มภูมิภาคนี้จะสามารถเข้าถึงกำลังคน เข้าถึงทรัพยากรที่สำคัญมากขึ้นกว่าการพุ่งเข้าไปในประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้น
- สิ่งที่คุณท็อปเชื่อว่าสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำธุรกิจในอนาคต คือเรื่องเทคโนโลยีดิจิทัล สิ่งแวดล้อม พลังงานสะอาด
- ผู้นำโลกหลายคนล้วนเห็นด้วยว่าการจะพึ่งพาแนวทางแบบเดิม ๆ ไม่พาโลกไปถึงไหน แต่ต้องก้าวไปสู่ทิศทางใหม่ ซึ่งหากใครใช้เทคโนโลยีเป็นจุดขาย เช่น Blockchain, AI, Big Data, Internet of Things ฯลฯ ธุรกิจในสายนี้จะเป็น Blue Ocean เป็นอนาคตของโลกต่อไป ยิ่งได้เปรียบในการดึงดูดคนและเม็ดเงินมหาศาล
- ดังนั้นองค์กรที่ทำธุรกิจสายเก่าจะไม่ดึงดูดอีกต่อไป เพราะมันไม่น่าดึงดูดแบะจะไม่เติบโตขึ้นอีกแล้ว เช่น ธุรกิจน้ำมัน โลกต้องมุ่งหน้าค้นหาสู่นวัตกรรมใหม่ ๆ ที่มีความยั่งยืนมากขึ้น ESG คือเรื่องสำคัญที่ต้องทำทั้งองคาพยพ จะทำแค่ E กับ S แต่ไม่สน G ไม่ได้
- ภายในเวลาไม่เกิน 6 ปีนี้ หากองค์กรไหนลงทุนหรือทำธุรกิจโดยไม่คำนึงถึงความยั่งยืน ไม่สนใจดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ไม่สนใจเรื่องคาร์บอนเครดิต จะไม่ได้รับการยอมรับจากในระดับโลก จะไม่มีใครลงเม็ดเงินทำการค้า ร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ด้วยอีกต่อไป และบริษัทเหล่านี้จะกู้ยืมเงินมาลงทุนต่อยอดยากขึ้นด้วยเช่นกัน
- เราจำเป็นต้องรู้ว่า ภายหน้าเราจะเดินหน้าไปยังทิศทางไหน ต้องรู้ว่ามีอะไรรออยู่ข้างหน้าบ้าง มิฉะนั้นกว่าจะถึงตอนนั้น กว่าจะตระหนักว่าสิ่งนี้สำคัญอย่างไรก็สายเกินไป
CIS 2024 Closing Speech
นายแพทย์ศุภชัย ปาจริยานนท์ หรือ หมอคิด ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อร่วมตั้ง RISE ขึ้นเวทีสุดท้ายเพื่อกล่าวปิดงาน พร้อมเผยถึงความประทับใจว่า งานที่ออกมาทั้ง 2 วันนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี ได้รับเสียงตอบรับจากผู้ร่วมงานที่เข้าฟังเสวนา และเข้าร่วมเวิร์คชอปอย่างล้นหลาม ซึ่ง Rise ขอขอบคุณผู้ร่วมงานทุกคน และจะนำทุกฟีดแบ็คที่ได้ไปปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในปีต่อไป
“หวังเป็นอย่างยิ่งว่า CIS 2025 ที่จะจัดขึ้นในปีหน้าจะกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมเนื้อหาสาระที่มีประโยชน์ต่อคนทำงานทุกคนอย่างแน่นอน” หมอคิด ทิ้งท้าย