เป็นประจำทุกปี HR Asia จะประกาศรางวัล Best Companies to Work For ซึ่งมอบให้กับองค์กรที่น่าร่วมงานด้วยที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในปี 2024 นี้ มีองค์กรในไทยที่ได้รับรางวัลนี้ถึง 71 แห่ง
โดย HREX ได้มีโอกาสสัมภาษณ์หนึ่งในองค์กรที่โดดเด่นในปีนี้นั่นคือ ดานอน สเปเชียลไลซ์ นิวทริชั่น ประเทศไทย (หรือดานอน ประเทศไทย – Danone Thailand) ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์โภชนาการที่ดีต่อสุขภาพสำหรับคนทุกช่วงวัย ที่ได้รับรางวัล HR Asia Best Companies to Work For In Asia 2024, Most Caring Company Awards 2024 และ Diversity, Equity & Inclusion Awards 2024
ครั้งนี้เราได้พูดคุยกับ คุณแดนิช ราห์มัน General Manager, Danone Thailand and Southeast Asia Lead และ คุณอารีย์ ทองเปรม Human Resources Director, Danone Thailand, Laos and Vietnam เพื่อเข้าใจเคล็ดลับการบริหารคนของ ดานอน ประเทศไทยและเหตุผลที่ทำให้องค์กรนี้กลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่พนักงานอยากร่วมงานด้วย มาติดตามกันได้ในบทสัมภาษณ์นี้ได้เลย
ดานอน ประเทศไทย (Danone Thailand) มีแนวทางการบริหารคนอย่างไร ?
แดนิช: สำหรับดานอน เราจะคำนึงถึงผลกระทบของการทำธุรกิจต่อเศรษฐกิจและสังคมเสมอครับ กว่า 50 ปีที่ผ่านมา เราพัฒนาแผนการทำงานเพื่อความยั่งยืนที่เรียกว่า “Danone Impact Journey” ซึ่งมีเสาหลักใหญ่ 3 ประการที่เรายึดมั่นเสมอมา ประกอบด้วย
- สิ่งแวดล้อม (Nature)
- สุขภาพ (Health)
- ผู้คนและชุมชน (People and Community)
เพราะที่ดานอน เราไม่ได้มุ่งเน้นแค่เรื่องธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่เราให้ความสำคัญกับทั้ง 3 เสาหลักของ Danone Impact Journey นี้เสมอด้วยครับ โดยเสาที่เกี่ยวกับผู้คนและชุมชนมีจุดเริ่มต้นมาจากพนักงานของเราเอง ซึ่งเราถือว่าพนักงานเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด และเป็นหัวใจสำคัญของทุกสิ่งอย่างที่เราทำ เพราะเราคิดเสมอว่าถ้าต้องการสร้างสิ่งดี ๆ ให้กับโลก เราก็ต้องเริ่มสร้างสิ่งดี ๆ ขึ้นมาจากภายในองค์กรก่อน
ดานอนจึงสร้างสภาพแวดล้อมที่พนักงานสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวก เปิดโอกาสให้พวกเขาได้รับการดูแลรอบด้าน มีโอกาสในการเติบโต และอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมความหลากหลายครับ
อะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้องค์กรได้รางวัล HR Asia Best Companies to Work for in Asia 2024 พร้อมกับรางวัล Most Caring Company และ Diversity, Equity & Inclusion ?
แดนิช: การได้รางวัลเหล่านี้เกิดจากการที่เราทำทุกอย่างเพื่อดูแลความปลอดภัยและความเป็นอยู่ที่ดี (Safety and Well-being) ของพนักงาน คอยดูแลทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจของพนักงาน ให้พนักงานทำงานอย่างยืดหยุ่น (Flexibility) เพื่อให้พนักงานมีสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัวครับ
นอกจากนี้ เรายังให้ความสำคัญกับความเห็นของพนักงาน (Employee Voice) ที่ผ่านมาเราจัดทำแบบสำรวจ “Danone People Survey” ทุกปี และถือเป็น KPI สำคัญของเราด้วย เราจะวัดผลความคืบหน้าและรับฟังข้อเสนอแนะจากพนักงานเสมอ เรามีแผนปฏิบัติการเพื่อตอบสนองต่อข้อเสนอแนะเหล่านี้ และพยายามปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ เรายังมีกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมโอบรับความแตกต่าง และทำให้พนักงานมีความสุขพร้อมที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อองค์กรครับ
ดานอน ประเทศไทย ภูมิใจที่ได้รับรางวัลเหล่านี้ ทุกอย่างเกิดจากความตั้งใจ การวางแผนที่รอบคอบ และความพยายามอย่างต่อเนื่อง เป็นแรงผลักดันให้เราปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นตลอดเพื่อทุกคนครับ
หมายความว่าองค์กรต้องดูแลพนักงานให้ดีที่สุดก่อน เพื่อที่พนักงานจะได้สามารถสร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้กับลูกค้าและองค์กรได้ ใช่ไหม ?
แดนิช: ใช่เลยครับ เพราะทุกสิ่งที่ดานอนทำจะสร้างผลกระทบไปไกลกว่าธุรกิจของเราเสมอ เรามองเรื่องธุรกิจควบคู่ไปกับความยั่งยืน ซึ่งมีเสาหลักสามประการที่ผมได้กล่าวไว้ หนึ่งในนั้นคือ ‘ผู้คนและชุมชน’ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่ง
ดังนั้น ทุกอย่างต้องเริ่มต้นจากพนักงานของเราเองก่อน หากใส่ใจดูแลพวกเขาให้ดีที่สุด พวกเขาก็จะสร้างสิ่งดี ๆ ต่อธุรกิจและสังคมโดยรวมครับ
ไม่เพียงแค่ ดานอน ประเทศไทย (Danone Thailand) ที่ได้รางวัลจาก HR Asia แต่ดานอน ในประเทศมาเลเซียและกัมพูชาก็ได้รางวัลนี้ด้วย ความสำเร็จครั้งนี้สำคัญต่อดานอนอย่างไรบ้าง ?
แดนิช: แน่นอนว่าเรายินดีที่ได้รับรางวัลเหล่านี้ แต่เป้าหมายของเราไม่ได้ต้องการทำเพื่อคว้ารางวัล ทุกอย่างเริ่มต้นจากหลักการพื้นฐานที่ผมได้พูดถึงก่อนหน้านี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ Danone Impact Journey ของเรา โดยเน้นที่ผลกระทบต่อธุรกิจและผลกระทบที่เรามีต่อสังคม ผ่านเสาหลักสำคัญ เช่น ผู้คนและชุมชน
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้สำหรับพนักงานของเรา ดานอนออกแบบโปรแกรมและนโยบายที่เหมาะสม หลายนโยบายที่ใช้ในประเทศไทย เราก็แบ่งปันร่วมกันในระดับภูมิภาคหรือระดับโลกด้วย ขณะเดียวกันเรายังปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะของแต่ละประเทศ เพราะทุกที่ล้วนมีปัจจัยเฉพาะที่สำคัญและแตกต่างกันไป
จุดเด่นของดานอนคือเราไม่เพียงนำโปรแกรมระดับภูมิภาคหรือระดับโลกมาใช้เท่านั้น แต่เราปรับให้เข้ากับบริบทของแต่ละประเทศได้ เช่น โปรแกรมพัฒนาทักษะ (Upskilling) ที่ออกแบบให้เหมาะสมกับบริบท ความสามารถ และความต้องการของบุคลากรในพื้นที่นั้น ๆ เพื่อสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่กว่าครับ
การที่เราทำสิ่งเหล่านี้สำเร็จและได้รับการยอมรับจนคว้ารางวัล ไม่เพียงแสดงให้เห็นว่า องค์กรของเราเป็นองค์กรที่ดีและน่าร่วมงาน แต่ยังช่วยดึงดูดบุคลากรที่มีคุณภาพให้เข้ามาร่วมงานกับเราอย่างต่อเนื่องด้วย
ทุกอย่างสะท้อนกลับมาที่วิสัยทัศน์ของดานอน คือ “One Planet, One Health” การดูแลผู้คน ธุรกิจ สังคม และโลกต้องไปพร้อมกัน และเราหวังว่าสิ่งที่เราทำจะสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ทั้งในระดับองค์กรและระดับสังคมได้ยิ่งขึ้นในอนาคตครับ
ในมุมมองของคุณ HR สำคัญต่อองค์กรอย่างไรบ้าง งาน HR มีส่วนช่วยผลักดันการเติบโตของธุรกิจได้อย่างไร ?
อารีย์: สิ่งที่ HR ของดานอนทำแล้วประสบความสำเร็จและแตกต่างจากที่อื่นคือ การเป็น HR Business Partnering ให้กับทุกส่วนขององค์กรค่ะ เช่น เราเข้าไปทำงานร่วมกับแต่ละส่วนงานเสมอ หลังวางแผนกลยุทธ์เสร็จเรียบร้อยแล้วว่าเราจะพัฒนาแผนงานร่วมกับแต่ละส่วนงานอย่างไร โดยเน้นการพัฒนาบุคลากร การ Upskill ความสามารถของพนักงาน และทำให้พนักงานมีส่วนร่วม (Engagement) กับกลยุทธ์ที่เราวางไว้
เมื่อมีแผนพัฒนาที่ชัดเจนแล้ว เราก็ย่อมต้องการให้พนักงานมีส่วนร่วมในแผนนั้น เราจึงมี Deploy Strategy เช่น National Convention ที่เปิดให้พนักงานได้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แชร์ประสบการณ์ และสร้างกลยุทธ์ร่วมกัน พนักงานสามารถออกไอเดียเพิ่มเติม หรือเสนอความคิดเห็นว่าแผนที่วางไว้นั้นจะได้ผลหรือไม่ อย่างไรบ้าง กิจกรรมเหล่านี้จะมี HR เข้าร่วมด้วยเสมอเพื่อรับฟัง ช่วยออกแบบและขับเคลื่อนแผนพัฒนาให้ออกมาดีที่สุด
อีกประเด็นสำคัญคือ การ Upskill และ Reskill พนักงาน เราตระหนักดีว่าธุรกิจของเราอยู่ใน Niche Market ซึ่งต้องการทักษะเฉพาะด้าน เราจึงพัฒนาหลักสูตรมากมาย เช่น โปรแกรมพัฒนาความเป็นผู้นำ หรือโปรแกรมเสริมสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะทางให้กับพนักงานที่ทำงานเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์โดยตรง เพราะเราเชื่อว่าการสร้างคนจากภายในองค์กรให้เติบโตอย่างต่อเนื่องจะได้ผลเร็วกว่าการดึงคนจากภายนอกเข้ามา
นอกจากนี้ หากต้องการให้ธุรกิจเติบโตและยั่งยืนในระยะยาว เราต้องใส่ใจเรื่อง Health & Well-Being ของพนักงาน เพราะเราเชื่อว่า ถ้าพนักงานรู้สึกดีต่อองค์กร กลยุทธ์ที่สร้างไว้จะยั่งยืนในระยะยาว
เราเริ่มจากการสร้างความยืดหยุ่นในการทำงาน เช่น ให้พนักงานสามารถทำงานแบบ Work From Anywhere ได้ รวมถึงสนับสนุนให้พนักงานมีสุขภาพและได้รับโภชนาการที่ดี ซึ่งสอดคล้องกับธุรกิจหลักของเรา ดานอน มีนโยบายสนับสนุนคุณแม่ที่เพิ่งคลอดลูก ด้วยการให้สิทธิ์ลาคลอดแบบได้รับค่าจ้างนานถึง 182 วัน ซึ่งสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ที่ 90 วัน
และดานอน ประเทศไทยก็ยังมี Flexi Health Benefit ให้พนักงานเลือกได้ว่าจะใช้งบประมาณจำนวนหนึ่งที่บริษัทจัดสรรให้ ไปกับสิ่งที่ตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละคน
ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของ HR ในการช่วยพัฒนาองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาบุคลากร การเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน และการส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วมในกลยุทธ์ ทุกอย่างล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้องค์กรเติบโตได้อย่างยั่งยืนค่ะ
ช่วยเล่าได้ไหมว่าทีม HR ของดานอน ประจำการในประเทศไทยที่ช่วยกันดูแลพนักงานทั้งองค์กร แบ่งบทบาทหน้าที่กันอย่างไร ?
อารีย์: เพื่อให้ตอบโจทย์กลยุทธ์องค์กร ทีม HR ของเราออกแบบมาเพื่อสนับสนุนธุรกิจในทุกมิติ โดยแบ่งทีมออกเป็น 3 ส่วนหลักค่ะ
- ทีม HR Business Partnering (HRBP) จะลงพื้นที่ไปทำงานร่วมกับแต่ละส่วนงานขององค์กร เช่น ฝ่ายการขาย ฝ่ายการตลาด หรือฝ่ายปฏิบัติการ แทนที่จะทำงานอยู่แต่ในออฟฟิศ เพื่อให้แน่ใจว่ากลยุทธ์ของงาน HR จะสอดคล้องกับเป้าหมายและความต้องการเฉพาะของแต่ละทีม
- ทีม Center of Excellence (COE) เน้นพัฒนาความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น การสรรหาบุคลากร การพัฒนาทักษะพนักงาน เป็นต้น
- ทีม HR Executions หรือทีมปฏิบัติการและสนับสนุน จะดูแลงานด้านการบริหารจัดการทั่วไป เช่น การจ่ายเงินเดือน งานเอกสาร และงานแอดมิน
ทีม HR ที่มีทั้งหมดคอยทำงานแต่ละด้าน และสนับสนุนกลยุทธ์ขององค์กร มีทั้งคนคิดและคนทำเพื่อช่วยเสริมให้ธุรกิจเติบโตค่ะ
ในฐานะที่ดานอนทำธุรกิจด้านโภชนาการและสุขภาพ ทำไมสุขภาพของพนักงานถึงสำคัญ และช่วยต่อยอดให้องค์กรอย่างไรบ้าง ?
อารีย์: อย่างที่คุณแดนิชกล่าวไปค่ะว่า วิสัยทัศน์ของเราคือการส่งมอบโภชนาการที่ดีให้ผู้บริโภค ซึ่งสิ่งนี้ต้องเริ่มต้นจากคนในองค์กรก่อน เราเชื่อว่าหากพนักงานได้รับการดูแลเป็นอย่างดี พวกเขาจะสามารถสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้กับลูกค้าและสังคมได้ นี่คือแนวคิด “Walk the Talk” ที่เราใช้ปฏิบัติจริง
เรายังพัฒนา Be-Well Program เพื่อส่งเสริมสุขภาพทั้งกายและใจของพนักงาน 3 ข้อ ได้แก่
- โภชนาการ (Nutrition) เราส่งเสริมด้วยกิจกรรมต่างๆ ให้ความรู้ด้านโภชนาการแก่พนักงาน เช่น อาหารสำหรับพนักงานที่กำลังตั้งครรภ์หรือหลังคลอด รวมถึงวิธีป้องกันภาวะโลหิตจางและปัญหาสุขภาพอื่นๆ
- สุขภาพจิต (Mental Health) เรามีช่องทางให้พนักงานสามารถปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยรักษาความเป็นส่วนตัวอย่างเคร่งครัด เพื่อให้พนักงานสบายใจกับพื้นที่จะแบ่งปันความรู้สึก
- สุขภาพกาย (Physical Health) เรามีกิจกรรมมากมาย เช่น Be-Well Day จัด ในทุกเดือนเรามีการแจกเครื่องดื่ม ขนม หรืออาหารในธีมต่าง ๆ และมีบริการการนวดเพื่อบรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรม รวมถึงมีกิจกรรมออกกำลังกายหลังเลิกงาน และอื่น ๆ ที่ช่วยดูแลสุขภาพพนักงานอย่างครอบคลุมค่ะ
ที่สำคัญ เราให้สวัสดิการและสิทธิประโยชน์เท่าเทียมกันทั้งพนักงานในสำนักงานและพนักงานในโรงงาน ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่เราได้รางวัลด้าน Diversity, Equity, and Inclusion (DEI) มาครอง
ทั้งหมดนี้ไม่เพียงช่วยให้พนักงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่ยังส่งผลให้ธุรกิจเติบโตและสามารถส่งมอบสิ่งดีๆ ไปยังผู้บริโภคได้ในระยะยาวค่ะ
สังเกตว่าที่ออฟฟิศของดานอน ประเทศไทย (Danone Thailand) ออกแบบและตกแต่งแล้วสร้างบรรยากาศที่ดี ด้านหน้าออฟฟิศมีการจัดตกแต่งตามธีมเทศกาลที่พนักงานหลายคนชวนกันออกมาถ่ายรูป ในขณะเดียวกันก็มีนโยบายส่งเสริมให้พนักงาน Work From Anywhere จึงอยากทราบแนวคิดว่าทำไมถึงอนุญาตให้พนักงานทำงานจากที่ไหนก็ได้ ในเมื่อมีออฟฟิศที่อบอุ่น และชวนให้อยากมาทำงานเสมอด้วย ?
แดนิช: ก่อนจะพูดถึงเรื่องการออกแบบออฟฟิศหรือการทำงานจากที่ไหนก็ได้ สิ่งที่ดานอนให้ความสำคัญที่สุดคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้พนักงานทำงานอย่างมีความสุขครับ ทำให้เขารู้สึกว่าได้รับการดูแล และสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ เพราะอย่างที่กล่าวไปว่าเมื่อดูแลพนักงานดี พวกเขาก็จะช่วยให้ธุรกิจเติบโต นี่คือปรัชญาที่เรายึดถือ
เราอยากให้ออฟฟิศเป็นสถานที่ที่พนักงานมาทำงานแล้วรู้สึกดี ได้รับความสะดวกสบาย สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ อย่างที่คุณอารีย์ได้พูดถึงไปก่อนหน้านี้ว่าเรามีโปรแกรมดูแลสุขภาพพนักงาน Be-Well หรือการสนับสนุนการทำงานตามหลัก Ergonomics
อย่างไรก็ตาม เราต้องทำความเข้าใจถึงปัญหาที่พนักงานต้องเผชิญด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาการจราจรในประเทศไทย โดยเฉพาะในวันจันทร์และศุกร์ที่สภาพการจราจรจะย่ำแย่ที่สุด พนักงานหลายคนต้องเดินทางไกล ทำให้เสียเวลาใช้ชีวิตส่วนตัว แทนที่จะได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวในช่วงเช้าหรือเย็นที่ไม่ใช่เวลาทำงาน
ดังนั้น เราจึงให้ความยืดหยุ่นกับพนักงาน ไม่เพียงแค่ทำงานจากที่บ้านได้ แต่เปิดโอกาสให้พนักงานเลือกได้ว่าจะทำงานจากที่ไหน ถ้าคุณรู้สึกสะดวกใจที่จะมาออฟฟิศในวันนั้น คุณก็มาได้ แต่ถ้าคุณอยู่ไกลและไม่อยากเสียเวลาไปกับการเดินทาง คุณก็ทำงานจากที่อื่นได้
ยิ่งไปกว่านั้น หากคุณต้องเดินทางไปทำธุระส่วนตัว หรือเดินทางไปทำธุรกิจ คุณก็ยังสามารถทำงานและเข้าร่วมประชุมได้ แนวคิดนี้ช่วยให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนครับ
ทั้งหมดนี้สะท้อนกลับมาที่ปรัชญาหลักของเรา คือ ดูแลพนักงานให้ดีที่สุด แล้วพวกเขาจะดูแลธุรกิจให้เราเอง ไม่ว่าจะทำงานจากที่ไหนก็ตาม เป้าหมายของเราคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างผลงานที่ดีที่สุดได้เสมอครับ
สุดท้ายนี้ คน Generation Z กำลังก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกองค์กร ดานอน ประเทศไทย มีคำแนะนำอะไรอยากฝากถึงพนักงานรุ่นใหม่ และคุณสมบัติอะไรที่ต้องการจากพวกเขาเพื่อช่วยยกระดับองค์กรบ้าง ?
แดนิช: เราเข้าใจดีว่าคน Gen Z นั้นมีความแตกต่างจากคนรุ่นก่อนๆ ทั้งวิธีคิดและวิธีการทำงาน ดานอนจึงต้องปรับตัวเพื่อรองรับความต้องการเฉพาะของคนกลุ่มนี้ด้วยครับ
เช่น คนรุ่น Gen Z มักมองหาความหมายจากงานที่มากกว่าผลลัพธ์ทางธุรกิจ พวกเขาให้ความสำคัญกับผลกระทบที่งานของพวกเขามีต่อสังคม ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญาของดานอนที่ให้ความสำคัญกับทั้งธุรกิจและผลกระทบต่อสังคม เราพร้อมเปิดโอกาสให้พวกเขาสร้างผลกระทบเชิงบวกที่ไปไกลกว่าการทำงานในองค์กร
นอกจากนี้ Gen Z ยังให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในชีวิตการทำงาน เพราะงานไม่ใช่ทุกสิ่งในชีวิตของพวกเขา เราจึงออกแบบองค์กรให้มีความยืดหยุ่นสูง เพื่อให้เขาสามารถจัดสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวได้อย่างลงตัว และเปิดโอกาสให้เขาก้าวออกจากขอบเขตงานเดิมเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกได้รวดเร็วขึ้น
เช่น พนักงานสามารถทำงานในโปรเจกต์ที่ไม่ได้อยู่ในขอบเขตหน้าที่ของตน เพื่อแสดงศักยภาพและสร้างความหมายในงานที่ทำ
ที่สำคัญ เราเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่พวกเขาจะสนุกกับการทำงาน รู้สึกได้รับการดูแล และเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Employee Value Proposition (EVP) ของเรา ซึ่งประกอบด้วย 3 หัวข้อหลักคือ
- การสร้างผลกระทบที่มีความหมาย (Meaningful Impact): เปิดโอกาสให้พนักงานสร้างผลกระทบทั้งในระดับธุรกิจและสังคม
- การเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับคน (People-Centric Company): สนับสนุนพนักงานให้ก้าวออกจากกรอบงานและเติบโตในสายอาชีพ
- การสร้างสภาพแวดล้อมที่ยอดเยี่ยม (Great Place to Work): ให้พนักงานรู้สึกสนุกและมีความสุขในการทำงาน
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ดานอนมอบให้คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z เพื่อให้พวกเขาเติบโตและสร้างผลงานที่มีความหมายในระยะยาวครับ