Search
Close this search box.

HR คือผู้ที่ช่วยองค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน – คุยกับ Chief People Officer จาก I.P. ONE

HIGHLIGHT

  • I.P. One คือแบรนด์สินค้าอุปโภค บริโภคชั้นนำของไทย ดำเนินธุรกิจมานานกว่า 50 ปี ที่กำลังเติบโตทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ชื่อดังมากมาย เช่นน้ำยาทำความสะอาด “วิกซอล” ผลิตภัณฑ์ดูแลผ้า “ไฮยีน” ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้าน “วิซ” และผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม “ไอวี่” เป็นต้น
  • I.P. ONE มีค่านิยมองค์กร (Core Value) เรียกว่า 6Is Core Value ประกอบด้วย Integrity, In Love, Insightful, Innovation, In-Sync, Into The Future เป็นตัวขับเคลื่อนหลักการในการดำเนินธุรกิจ
  • I.P. One ตั้งเป้าเป็นองค์กรที่เน้นการพัฒนาศักยภาพของคน และองค์กรให้พร้อมเติบโตไปพร้อมกับบริษัท เพื่อความอย่างยั่งยืน มีระบบ Talent Management ที่จะดึงดูดบุคลากรที่ศักยภาพเข้ามาสู่องค์กร, การกำหนดแนวทางพัฒนา วางแผน Career สำหรับพนักงานภายในให้มีศักยภาพ และสามารถเติบโตไปรับงานที่ท้าทาย หรือตำแหน่งงานที่สำคัญๆ ขององค์กรได้, มุ่งเน้นการสร้างคุณค่าให้พนักงานได้มีพื้นที่ในการแสดงศักยภาพ ความคิดสร้างสรรค์ เห็นถึงคุณค่าของตัวเอง และเป็นส่วนหนึ่งกับความสำเร็จขององค์กร

สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบกับธุรกิจทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจส่งออก, ภาคการเกษตร หรือแม้แต่สินค้าอุปโภคบริโภค ทุกองค์กรต้องเจออุปสรรคที่แตกต่างกันไป แต่เมื่อสถานการณ์เริ่มกลับสู่สภาวะปกติ สิ่งที่ยังคงอยู่ก็คือประสบการณ์และความรู้ที่ HR สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการทำงานในอนาคตได้ดีกว่าที่เคย

HREX.asia ขอพาผู้อ่านทุกท่านไปพูดคุยกับคุณนันทศักดิ์ จุลตระกูล Chief People Officer จากบริษัท I.P. One ที่มีความมุ่งมั่นที่จะเห็นผู้บริโภคได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพ I.P. One ก่อตั้งมาแล้วกว่า 50 ปี โดยมีผลิตภัณฑ์ชื่อดังอย่างน้ำยาทำความสะอาด “วิกซอล”, ผลิตภัณฑ์ดูแลผ้า “ไฮยีน”, ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้าน “วิซ” และผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม “ไอวี่” เป็นต้น

I.P. One ใส่ใจกับความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่ม เป็นบริษัทที่มุ่งพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง เพื่อสร้างสรรค์นวันตกรรม ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคทั้งในไทยและต่างประเทศ ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการบุคลากรให้มีศักยภาพ และทำงานอย่างมีความสุข ซึ่งความตั้งใจนี้ทำให้บริษัทไอ.พี. วัน สามารถคว้ารางวัล HR Asia Best Companies To Work For In Asia ประจำปี 2022

ดังนั้นหากคุณต้องการเรียนรู้จากบริษัทที่ประสบความสำเร็จและพร้อมสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืน นี่คือบทสัมภาษณ์ที่คุณพลาดไม่ได้เด็ดขาด

สถานการณ์ของ I.P. ONE ในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา เป็นอย่างไรบ้าง ?

นันทศักดิ์ : ต้องยอมรับว่าโควิด-19 เป็นสถาณการณ์วิกฤตที่โลกไม่เคยเผชิญมาก่อน สำหรับ I.P. One เนื่องจากเรา เป็นธุรกิจที่ผลิตและขายสินค้าอุปโภค บริโภค ในช่วงเวลานั้นบริษัทเราก็มีความกังวลใจว่า วิถีชีวิตแบบใหม่ที่เราไม่เคยคาดการณ์มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นผู้คนที่ไม่สามารถใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม รูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป สิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของเราหรือไม่ เราจึงต้องมา Reset ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานกันใหม่

อย่างในส่วนของการขาย เราให้ความสำคัญกับลูกค้า คู่ค้าที่จะทำให้เขายังคงได้รับสินค้า และผลิตภัณฑ์ของเราได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งแน่นอนว่าทีม Sales ก็ต้องทำงานหนักขึ้น ต้อง Insight กับสถาณการณ์ของลูกค้าแบบใกล้ชิด ใส่ใจดูแลลูกค้าแบบกัดไม่ปล่อย เป็นผลทำให้เรายังสามารถสร้างยอดขายได้อย่างเติบโต ซึ่งต้องบอกว่าสถาณการณ์โควิดที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลต่อยอดขายสินค้าเราเลยครับ

ในส่วนของโรงงานก็เช่นกัน เราไม่สามารถหยุดผลิตได้ และไม่สามารถปรับไปใช้นโยบาย Work from Home เหมือนในส่วนของออฟฟิศได้ เพราะที่ I.P. One เราผลิตสินค้าตลอด 24 ชั่วโมง ในขณะเดียวกันความปลอดภัยพนักงานก็เป็นสิ่งที่เราต้องคำนึงสูงสุดเช่นเดียวกัน เราจึงต้องทำทุกวิถีทางให้การป้องกันพนักงานไม่ให้ติดเชื้อ หรือเกิดการติดเชื้อน้อยที่สุด

เราน่าจะเป็นโรงงานแรกๆ ในนิคมอุตสาหกรรมบางปู ที่ใช้นโยบาย Bubble and Seal, รวมถึงการให้หัวหน้างานลงไปใกล้ชิดชีวิต ความเป็นอยู่ของพนักงานเพื่อคอยกระตุ้น และดูแลการใช้ชีวิตของพนักงานที่อาจมีความเสี่ยงต่างๆ

สำหรับงานที่สามารถทำที่ไหนก็ได้ เราใช้นโยบายการทำงาน Work from Home เหมือนบริษัทอื่นๆ เช่นเดียวกัน ระหว่างนั้นเรายังมีโครงการ “คน IP พร้อมมีภูมิ” เพื่อเชิญชวน ให้ความรู้ กระตุ้นพนักงาน และดูแลตัวเองอย่างไรให้ไม่ติด Covid ที่สำคัญคือต้องไปฉีดวัคซีนให้ได้ครบจำนวน และเร็วมากที่สุด I.P. One ได้มีการประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อหาแนวทางให้พนักงานได้เข้ารับวัคซีนอย่างทั่วถึง

สำหรับพนักงานที่ติดโควิดแล้ว เราจะเข้าไปดูแลเพื่อให้เขาสามารถเข้าถึงระบบการรักษาให้ได้เร็วที่สุด และ Support ค่าใช้จ่ายในการรักษา โดยการซื้อประกันการรักษาโควิทให้พนักงานเพิ่มเติมจากประกันสุขภาพที่มีอยู่แล้ว

ซึ่งทั้งหมดที่ได้เล่ามา สามารถสรุปให้เห็นภาพได้ว่า I.P. One เรามุ่งมั่นที่จะผลิตสินค้าให้ได้คุณภาพ ตามความต้องการของลูกค้า ให้ความสำคัญกับลูกค้าและผู้บริโภค ที่ต้องสามารถได้ใช้สินค้าที่มีคุณภาพของเราได้เหมือนในสถานการณ์ปกติ ในขณะเดียวกันความปลอดภัยของพนักงานก็เป็นสิ่งสำคัญสูงสุด ที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงอีกด้วย

สถานการณ์โควิด-19 เป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิด ดังนั้นการวางแผนเรื่อง Risk Management จึงไม่ได้อยู่ในแผนงานตั้งแต่ต้น ไอ.พี. วัน มีวิธีบริหารจัดการงบประมาณอย่างไร ?

นันทศักดิ์ : ตอนนั้นเราพยายามบริหารงบประมาณให้เหมาะสมกับสถาณการณ์ให้ดีที่สุด เพราะไม่รู้เลยว่าสถานการณ์โควิด-19 จะออกไปในทิศทางไหน และยาวนานแค่ไหน ในขณะเดียวกันเราก็ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าสถานการณ์ของธุรกิจเราจะเป็นอย่างไร

ผมขอยกตัวอย่าง วิธีการบริหารงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวกับด้านบุคลากรของเราในช่วงนั้น จะต้องมาจัด Port กันใหม่ โดยเราตัดงบประมาณในส่วนกิจกรรมที่ไม่จำเป็น หรือไม่สามารถที่จะดำเนิน กิจกรรมนั้นได้ในช่วงโควิด-19 ออกไป เช่นการฝึกอบรมที่ต้องจัดแบบ On Ground หรือ กิจกรรมสันทนาการของพนักงานต่าง ๆ แล้วเอางบตรงนั้นไปใช้เรื่องการดูแลสุขภาพของพนักงานเพิ่มแทน เช่น การซื้อประกันโควิดให้พนักงาน, การซื้อยารูปแบบต่างๆ, หน้ากากอนามัย, ที่ตรวจ ATK, เครื่องตรวจชีพจร เป็นต้น

จากที่โรงงาน I.P. One ต้องผลิตตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ก็แปลว่ามาตรการดูแลในส่วนของโรงงานต้องครอบคลุมและจริงจังเป็นพิเศษเลยใช่ไหม ?

นันทศักดิ์ : เรื่องนี้ซีเรียสสำหรับเรามากเลยครับ เรามีการทำ Bubble and Seal ให้พนักงานของโรงงาน เพื่อป้องกันให้พนักงานของเรามีความเสี่ยงน้อยที่สุดในการที่จะติดโควิด นอกจากนี้เราก็มอบหมายให้หัวหน้างาน ผู้จัดการ ใกล้ชิด และดูแลพนักงานในทีมมากขึ้นกว่าเดิมในชีวิตปกติ เพื่อสื่อสารสร้างความเข้าใจในการป้องกันตัวเอง หาทางในการป้องกัน และการลดอัตราการติดเชื้อ ดูแลชีวิตของพนักงาน ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญมากในช่วงที่สถานการณ์โควิด

ในช่วงแรกที่วัคซีนหายากมาก แต่เราก็สามารถทำให้พนักงานของเราเกือบ 100 % ได้ฉีดวัคซีนได้ครบจำนวน และได้เร็วมากในช่วงที่สถาการณ์โควิทกำลังถึงจุดสูงสุด จากการบริหารในช่วงเวลานั้น จำนวนพนักงานที่ติดเชื้อโควิทของเราคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยกว่าที่เราคาดการณ์ไว้มาก ซึ่งทำให้การผลิตไม่หยุดชะงัก และสามารถสร้างการเติบโตของยอดขายที่เพิ่มขึ้นได้ด้วยครับ

ปัจจัยหนึ่งที่เรามักเห็นจากองค์กรที่ขึ้นชื่อว่าจัดการปัญหาโควิด-19 ได้ดี ก็คือ ‘ความสามารถในการสื่ิอสาร’ ที่ไอ.พี.วันมีแผนงานในด้านนี้อย่างไรบ้าง ?

นันทศักดิ์ : เริ่มจากภาพใหญ่ก่อนครับ

เราจัดตั้ง Covid Committee โดยมีตัวแทนผู้บริหารแต่ละหน่วยงานเข้ามาร่วมพูดคุย หารือเพื่อวางแผนงาน นโยบายต่าง ๆ ให้เตรียมรับมือกับบสถาณการณ์โควิทในแต่ละช่วง โดยคณะนี้จะมีการออกนโยบายการดูแลพนักงาน คู่ค้า ลูกค้า แนวทางการป้องกัน ต่างๆ ออกมาตลอดเวลาตามแต่ละสถาณการณ์ มีการ Monitor สถานการณ์ของบริษัทกันทุกวัน เพื่อเตรียมการในการรับมือกับสถานการณ์โควิทได้อย่างทันท่วงที

เราจัดทำ Gimmick Program ใช้ชื่อว่า ‘คนไอ.พี. พร้อมมีภูมิ’ เพื่อกระตุ้น สร้างความรู้ และความตระหนักให้พนักงาน โดยโครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อ Motivate คนทั้งบริษัทว่าเราต้องไปฉีดวัคซีนให้ครบ 100% และพนักงานเราจะไม่ติดโควิดหรือติดให้น้อยที่สุด โดย CEO จะมาให้ข้อมูลโดยตรงว่าเรามีเป้าหมายอย่างไร มีกระบวนการอย่างไร นอกจากนี้ยังมีคลิปวีดีโอจากผู้บริหารระดับสูง ตั้งแต่ขั้น N-1 ลงมา เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และโน้มน้าว (Motivate) ให้พนักงานปฏิบัติตามแนวทางที่ควรจะเป็น

ผมยกตัวอย่างให้เห็นภาพ อย่างกรณีของการฉีดวัคซีนที่ตอนแรกคนยังไม่กล้าฉีดกันมาก เพราะกลัวในเรื่องของผลข้างเคียง กังวลว่าฉีดไปแล้วจะเกิดผลอะไรกับร่างกายหรือเปล่า เราก็เลยต้องอธิบายให้ชัดเจนโดยเชิญคุณหมอที่เชี่ยวชาญมาให้ความรู้ นำเอาผู้บริหารระดับสูงมาสื่อสาร เพื่อ Motivate ว่าการฉีดวัคซีนนั้นไม่อันตราย และจะดีกับทั้งตัวเอง ครอบครัว และประเทศชาติอย่างไร เพื่อให้พนักงานเข้าใจมากที่สุด

ในส่วนของระดับพนักงาน ผู้บริหารของแต่ละหน่วย ก็จะพูดคุยกับพนักงานเป็นประจำ หรือบางหน่วยงานก็จะมี Morning Talk ทุกเช้า เพื่อย้ำเตือนและสร้าง Awareness ให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา

บริษัทจะมี Dashboard มอนิเตอร์ทุกวันว่ามีพนักงานติดเชื้อกี่คน หายดีแล้วกี่คน มีการเก็บข้อมูลว่าติดเชื้อบริเวณไหน ในสถานการณ์อย่างไร เพื่อนำไปวางแผนเฝ้าระวังในอนาคต ถ้าพื้นที่ไหนมีพนักงานติดเชื้อบ่อยครั้ง เราก็จะเข้าไปจัดการทันทีเพื่อไม่ให้ปัญหาบานปลายลุกลาม

เราเห็นว่า I.P. One ให้ความสำคัญกับงานเพื่อสังคมในช่วงโควิด-19 ด้วย โครงการเหล่านี้มีแนวคิดอย่างไร ?

นันทศักดิ์ : เรื่องนี้เป็นเป้าหมายหลักของ I.P. One ครับ เราต้องการให้บริษัทเติบโตแบบยั่งยืน ซึ่งการจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อชุมชน, สังคม ประเทศ ต้องมีความยั่งยืนควบคู่กันไปด้วย เราจึงตั้งใจในการที่จะเข้าไปช่วยเหลือชุมชน สังคม ประเทศ ในส่วนที่บริษัทมีความสามารถที่จะทำได้

เช่นในช่วงโควิดที่ผ่านมา เราได้จัดตั้งโครงการ “Hope To Home ส่งความหวังถึงบ้าน ผ่าน “ถุงรอยยิ้ม” ที่บรรจุสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการดูแลสุขอนามัยภายในบ้าน อาทิ ผลิตภัณฑ์ซักผ้าและปรับผ้านุ่มไฮยีน, น้ำยาล้างห้องน้ำวิกซอล, น้ำยาถูพื้นวิซ, แดนซ์ แอลกอฮอล์สเปรย์ รวมถึง นมเปรี้ยวไอวี่ โดยมีผู้บริหารและพนักงานของบริษัท ช่วยจัดเตรียมสินค้า พร้อมเขียนข้อความให้กำลังใจ เดินหน้าส่งความหวังถึงบ้าน เพื่อช่วยเหลือพี่น้องคนไทยตามชุมชนที่มีการติดเชื้อและได้รับผลกระทบอย่างหนัก

การมอบผลิตภัณฑ์ของเราที่เกี่ยวข้องกับการทำความสะอาด เพื่อไปทำความสะอาดสถานที่ บ้านเรือน ชุมชน สถาบัน องค์กรต่าง ๆ เรามองว่าการ แบ่งปัน การช่วยเหลือระหว่างกัน เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างพลังที่ดีต่อชุมชน สังคม และประเทศ ซึ่งจะทำให้ชุมชน สังคม และประเทศมีคุณภาพ และมีความยั่งยืนขึ้น

พูดถึงเรื่องสวัสดิการพนักงานกันบ้างครับ ตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา Employees Benefit มีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง ?

นันทศักดิ์ : ในช่วงโควิทที่ผ่านมา อย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้นว่าเราได้เพิ่มสวัสดิการ และการดูแลที่เหมาะสมตามสถานการณ์ในช่วงโควิดขณะนั้น

แต่หลังจากสถาณการณ์โควิด I.P. One ก็ได้ทำการต่อยอดแนวคิดเรื่อง Health Wellbeing ให้กับพนักงาน แนวคิดของโปรแกรมนี้ก็คือเรามองว่าอนาคตข้างหน้าอาจเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันแบบโควิด ขึ้นอีกครั้งก็ได้ รวมถึงการใส่ใจดูแลสุขภาพพนักงานก็ต้องถือว่าเป็นแนวทางที่จะทำให้เกิดสุขภาพที่ดี แข็งแรง และเมื่อพนักงานสุขภาพดี แข็งแรงจากการที่บริษัทได้ดูแล และห่วงใยพวกเขา สิ่งเหล่านั้นก็ Turn กลับมาเป็น Engagement และ Productivity ให้กับองค์กรได้ I.P. One จึงเห็นถึงความสำคัญในเรื่องนี้

นอกจากนี้เราได้เชิญผู้เชี่ยวชาญเข้ามาให้ความรู้ในเรื่องการดูแลสุขภาพ เช่น วิธีออกกำลังกายที่ถูกต้อง, เคล็ดลับการออกกำลังกายในที่ทำงาน, การป้องกัน Office Syndrome, วิธีเลือกอาหารให้เหมาะสม รวมถึงเรื่องสุขภาพจิต หรือ Mental Health ด้วยครับ

เรามี Class การออกกำลังกายในช่วงหลังเลิกงาน ทั้งการเต้นแอโรบิค, โยคะ, ฟิตเนส หรืออะไรก็ได้ที่พนักงานอยากเข้าร่วม หรือแม้แต่การไปเช่าสนามฟุตบอล, สนามแบดมินตัน, ลานกิจกรรมในพื้นที่ใกล้ ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสให้พนักงานสามารถออกกำลังกายได้ง่ายกว่าที่เคย

มาถึงประเด็นที่ไม่พูดถึงไม่ได้ เราอยากรู้ว่า I.P. One มีวิธีบริหารความแตกต่างอย่างไร เพราะมีพนักงานหลายระดับ และหลายสัญชาติ ?

นันทศักดิ์ : การบริหารความแตกต่าง ความเป็นธรรม ถือเป็น Principle หลักของ I.P. One ครับ เรามี Core Value เรื่อง Integrity เป็นสิ่งยึดถือในการทำงาน Core Value ตัวนี้จะส่งต่อมาที่การทำงานทุกภาคส่วน ซึ่งรวมถึงการบริหารงานบุคคล ต้องเป็นธรรม เท่าเทียม เรามีคณะกรรมการ Compensation and Benefit ซึ่งมีตัวแทนของผู้บริหารระดับสูงของแต่ละหน่วยงานเข้ามาเป็นกรรมการ โดยมี CEO เป็นประธาน และ HR เป็นเลขานุการ

คณะกรรมการคณะนี้มีหน้าที่ดูแลนโยบายการบริหารงานบุคคล ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Welfare & Benefit ,Career Path & Development, Talent & Successor, Organization Development โดยการใช้ระบบคณะกรรมการ เพื่อที่จะทำให้เกิดการพิจารณาอย่างรอบด้าน มองไปที่ Vision, Mission และ Core Value ของบริษัทเป็นสำคัญ จึงทำให้การพิจารณาตัดสินใจต่างๆ มีความเป็นธรรม และสอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กรมากกว่าตัวบุคคล

ดังนั้นพนักงานที่มีความหลากหลายและแตกต่างกันไปแต่ละเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นระดับ, เพศ, สัญชาติ, ศาสนา หรืออื่น ๆ ที่มี เมื่อมาเป็นพนักงาน I.P. One แล้วก็จะได้รับการดูแลอย่างเป็นธรรม ทั่วถึง และเหมาะสมครับ

I.P. One ให้ความสำคัญกับการพิจาณณาการเลื่อนตำแหน่งจากคนภายในของไอ.พี. วัน (Internal Promotion) มาก น้อยแค่ไหน ?

นันทศักดิ์ : เราเห็นความสำคัญของการสร้าง และการพัฒนาพนักงานให้เติบโตไปพร้อมกับบริษัท เพราะมองว่าการที่พนักงานที่เติบโตไปพร้อมกับบริษัท เขาจะมี Engagement ต่อองค์กรสูง และยิ่งถ้าเราพัฒนาให้เขาเป็น Talent ให้เขาเติบโตไปเรื่อย ๆ ประกอบกับการที่เขามี Engagement ต่อองค์กรสูง ทั้งสองส่วนนี้จะเป็นประโยชน์ต่อองค์กรที่จะเติบโตได้อย่างยั่งยืน เพราะเราเชื่อว่าองค์กร ก็คือพนักงานในองค์กรครับ ดังนั้น I.P. One จึงให้ความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของพนักงาน เพื่อให้เขาสามารถเติบโตเส้นทางอาชีพของเขาขึ้นไปได้ เรามีนโยบาย Promotion from with in ซึ่งจะให้แต่ละหน่วยงานพิจารณาพนักงานที่มีศักยภาพ เพื่อ Promote ได้

เรามีนโยบายเปิดโอกาสพนักงานภายในมาสมัครงานตำแหน่งงานว่างที่บริษัทประกาศรับสมัครงานได้, เรามีระบบการพัฒนาพนักงานเพื่อเพิ่มศักยภาพให้เขาตลอดเส้นทางของการทำงานที่อยู่กับ I.P. One ไม่ว่าจะเป็น Functional Skill, Leadership Skill ซึ่งรูปแบบการพัฒนาจะเน้นทั้งการเรียนจากผู้เชี่ยวชาญ, การ Coach จากหัวน้างาน ผู้บริหาร และการลงมือฝึกปฏิบัติจริง ทั้งจากการมอบหมายงานที่ Challenge เพิ่มขึ้น หรือให้ Project Assignment ที่จะขยายองค์ความรู้ของพนักงานให้ลึก และกว้างออกไป

อย่างปีที่แล้วของเราที่มีการมอบหมายให้พนักงานที่ศักยภาพกระโดดมาทำ Project ที่ช่วยผลักดัน Strategy ของบริษัทให้สำเร็จ ก็เป็นอีกหนึ่ง Project ที่ประสบผลสำเร็จและช่วยผลักดัน Strategy ขององค์กรด้วย

เราได้ยินกันบ่อย ๆ ว่าเทคโนโลยีเติบโตขึ้นมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทางไอ.พี. วัน ปรับตัวเข้าหา Digital Transformation อย่างไร ?

นันทศักดิ์ : การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในการทำงาน ถือเป็น Core หลักของเรา เป็นกลยุทธ์ และเป็นเครื่องมือ สำคัญของธุรกิจเรา ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงโควิด-19 หรือไม่ก็ตาม โดย I.P. One มองว่าเทคโนโลยีดิจิทัลคือสิ่งที่จะทำให้เรา มีข้อมูล Insight จากลูกค้า ผู้บริโภค เพื่อนำมาวิเคราะห์ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากที่สุด ด้าน Production ในขั้นตอนการผลิต Digital จะเข้ามาช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มผลผลิตให้กับเราได้

ในส่วนอื่น ๆ ก็เช่น การใช้แพลตฟอร์ม K2 ในงานอนุมัติงาน มี Office 365 ที่ใช้กันในองค์กรจนเป็นเรื่องปกติ

สำคัญที่สุดคือ เราเน้นในการพนักงานในองค์กรให้มี Digital Savvy อยู่ในทุกระดับ และทุกภาคส่วน เรากำหนดให้ระดับ Manager ต้องมี Digital Savvy เป็นหนึ่งใน Leadership Competency ของระดับ Manager ของ I.P. One ทุกคน และมีแผนพัฒนา Digital Savvy นี้ทุกปี

พอสรุปให้ฟังได้ไหมว่าจุดเด่นในการบริหารคนของไอ.พี.วันคืออะไร ?

นันทศักดิ์ : องค์กรของเราเพิ่งเฉลิมฉลองครบรอบการก่อตั้งปีที่ 50 เมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้บริษัทกำลังก้าวไปสู่ปีที่ 51 โดยสิ่งที่ทำให้องค์กรเราเติบโตมาถึงจุดนี้ และจากแผนธุรกิจแล้ว เรามีโอกาสเติบโตไปได้มากอย่างแน่นอน ผมคิดว่าปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือ ค่านิยมองค์กร 6I’s Core Value

  • Integrity: ซื่อสัตย์ ยึดมั่นในคุณธรรม
  • In Love: รัก หลงใหลในสิ่งที่ทำ
  • Insightful: รู้จัก รู้จริง รู้ใจ
  • Innovation: สร้างสรรค์นวัตกรรม
  • In-Sync: พนักงานทุกคนรวมพลังใจเป็นหนึ่งเดียว
  • Into The Future: การเติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืน

นี่คือค่านิยมที่ขับเคลื่อน I.P. One มาจนถึง 50ปี และจะเป็นเครื่องยนต์สำคัญที่จะขับเคลื่อนองค์กรนี้ให้เติบโตต่อไปในอนาคต โดย 6I’s Core Value นี้เป็นสิ่งที่มาจาก Founder (ผู้ก่อตั้งบริษัท) เป็นผู้สร้างแนวทางและมีการถ่ายทอดไปสู่พนักงาน I.P. One รุ่นต่อรุ่น สิ่งนี้จึงเป็นจุดเด่นที่สำคัญของ I.P. One เราครับ

มาถึงคำถามสุดท้าย คุณนันทศักดิ์คิดว่า HR ช่วยสนับสนุนการเติบโตของก่อนได้อย่างไร ?

นันทศักดิ์ : ในช่วงที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างงรวดเร็วแบบนี้ เราไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เลยว่าจะมีสิ่งใดอีกที่ต้องเผชิญในอนาคต กรณีโควิด-19 เราก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะมีโรคระบาดที่สร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงให้กับโลกได้แบบนี้ หรือแม้แต่เรื่อง Digital Disruption ต่าง ๆ ที่เข้ามามีผลกระทบกับธุรกิจ และชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน

ดังนั้นในความเห็นของผม องค์กรจะเติบโต และสามารถเผชิญสถานการณ์ต่างๆ ที่ท้าทาย และไม่อาจคาดเดาได้ คงไม่ใช่เป็นเพียงเพราะเงินลงทุน หรือเครื่องจักร แต่เป็นเพราะพนักงานในองค์กรนั้นๆ ช่วยกันผลักดันมากกว่า

เหตุนี้ HR จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากในสมัยนี้ เพราะบทบาท HR ต้องเป็น Partner ของ Business ที่จะช่วยวาง Vision, Mission, Strategy และการ Execute ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับคนและองค์กร เพื่อสร้างประโยชน์ และขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโต

ผู้เขียน

Picture of HREX.asia

HREX.asia

Connect People to the Best HR Solution เพื่อสนับสนุนการเติบโตขององค์กรผ่านผู้คน

บทความที่เกี่ยวข้อง