HIGHLIGHT
|
คำถามสำคัญสำหรับคนที่ทำงานด้าน HR คือเราจะดูแลและพัฒนาคนให้พร้อมรับมือกับทุกความเปลี่ยนแปลงอย่างมีความสุขได้อย่างไร ? เพราะบางครั้งเราก็ต้องเจอกับสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้อย่างเช่นโควิด-19 รวมถึงค่านิยมบางอย่างที่แตกต่างตามยุคสมัย รากฐานที่ดีจึงเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งถือเป็นเป้าหมายสำคัญขององค์กรชั้นนำทุกแห่งในโลก
ในโอกาสนี้ HREX.asia มีโอกาสพูดคุยกับคุณ ภัทรพร ธัญญารัตน์สกุล Head of Human Capital Business Partner – Operations จาก โอสถสภา (Osotspa) บริษัทชั้นนำที่มีอายุเก่าแก่กว่า 132 ปี เป็นที่ยอมรับในฐานะสถานประกอบการที่มีระบบบริหารจัดการแรงงานที่ดีเยี่ยมตามมาตรฐานสากล เป็นต้นแบบให้องค์กรอื่นสามารถนำไปปรับใช้เพื่อให้บุคลากรทุกท่านสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างอบอุ่น
ทำไมโอสถสภา (Osotspa) จึงเป็นองค์กรที่ทันสมัย ไม่เคยตกยุค และได้รับรางวัล Best Companies To Work For จาก HR Asia ประจำปี 2022 อ่านทุกเรื่องที่คุณควรรู้ได้จากบทสัมภาษณ์นี้
ช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา โอสถสภา (Osotspa) มากมายต้องประสบปัญหาจากเรื่องโควิด-19 องค์กรที่ปรับตัวไม่ทันต้องล้มหายไปจากโลกธุรกิจ ทางด้านของโอสถสภาเป็นอย่างไรบ้าง ?
ภัทรพร: เช่นเดียวกับองค์กรทั่วไปค่ะ ในช่วงแรกก็มีความวุ่นวายเพราะโควิด-19 ถือเป็นเรื่องใหม่ที่คนทั่วโลกไม่เคยเจอมาก่อน แต่เราก็ไม่ตื่นตระหนกนานนะคะ เราได้จัดประชุมอย่างเร่งด่วนเพื่อหาแนวทางรับมือที่ดีที่สุด มีการศึกษาข้อมูลจากสาธารณสุขและประสานงานกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อหารูปแบบการทำงาน ตลอดจนสวัสดิการที่เหมาะสม โดยโอสถสภามีกลยุทธ์ดังนี้ค่ะ
อย่างแรกคือเราพัฒนารูปแบบการสื่อสารให้มีความกระชับ ฉับไวมากขึ้น ทั้งการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจภายในองค์กร รวมถึงการสื่อสารภายนอกกับภาครัฐและพันธมิตร เพราะโควิด-19 เป็นเรื่องที่ต้องแข่งกับเวลา เราจะต้องบริหารจัดการเวลาที่เรามีอย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กรและพนักงาน ในที่นี้เราก็ได้นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารด้วย
เรื่องต่อมาคือการปรับไปเป็น Hybrid Workplace หรือ Work From Home เพื่อส่งเสริมให้องค์กร และพนักงานมีความคล่องตัวมากขึ้น วิธีนี้ยังช่วยให้พนักงานลดเวลาในการเดินทาง มีเวลาส่วนตัว ได้อยู่กับครอบครัวมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในช่วงที่สังคมเต็มไปด้วยความเครียด นโยบายนี้ดำเนินมาจนถึงปัจจุบันที่โอสถสภาปรับตัวเป็นองค์กร Hybrid แบบครบวงจรที่พนักงานไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน โดยเราเปลี่ยนไปให้ความสำคัญกับเรื่องการมีส่วนร่วมของคนในทีม (Engagement) ด้วยการสร้างพื้นที่ให้พนักงานได้มีที่รวมตัวกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นโต๊ะทำงานส่วนตัวกับห้องประชุมที่ดูเคร่งเครียดเพียงอย่างเดียว อะไรแบบนี้ เรียกว่าโอสถสภามีความพร้อมทั้งด้านการปรับตัว และนำสถานการณ์ทั้งดีทั้งร้ายมาประยุกต์ ต่อยอดให้เกิดประโยชน์สูงสุดเสมอค่ะ
ในฐานะองค์กรที่ประสบความสำเร็จมานานกว่าร้อยปี คิดว่าจุดเด่นที่ทำให้โอสถสภา (Osotspa) แตกต่างจากองค์กรอื่นคืออะไร ?
ภัทรพร: เราไม่ได้มองว่าโอสถสภาจะต้องแตกต่างจากบริษัทอื่นอย่างไร แต่เราเน้นในเรื่องของการทำตัวเองให้เป็นมืออาชีพเสมอ เรามีการผสมผสานวัฒนธรรมการทำงานแบบไทยและสากลเข้าไว้ด้วยกัน มีการบริหารจัดการบุคลากรในรูปแบบที่ทันสมัยและตอบโจทย์ตามความต้องการในแต่ละกลุ่มงานและช่วงวัย แถมยังให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยนความเห็น เชื่อมั่นในเรื่องการคิดต่างว่าจะนำไปสู่หนทางใหม่ ๆ เกิดไอเดียที่ดีขึ้น เรามองว่าวิธีนี้นอกจากจะให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพแล้ว ยังช่วยสร้างความผูกพันระหว่างบุคลากรภายในองค์กรอีกด้วย
หากย้อนกลับไปในประวัติอันยาวนานของเรา เราเริ่มมาจากการผลิตยากฤษณากลั่น และผลิตภัณฑ์อื่นๆ รวมถึงเครื่องดื่มชูกำลังตัวแรก คือ ลิโพ ซึ่งประสบความสำเร็จดีอยู่แล้วค่ะ แต่ด้วยความไม่หยุดนิ่งของเรา โอสถสภาก็ยังคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ มาอย่างต่อเนื่อง มีสินค้าที่คนรู้จักดีอย่าง M150 หรือในกลุ่ม Personal Care อย่าง Babi Mild ซึ่งถือเป็นเพียงบางส่วนของสินค้าที่เรานำเสนอสู่ท้องตลาดเท่านั้น
สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากโอสถสภาไม่ได้มีผู้นำที่ดีจากรุ่นสู่รุ่น ที่คอยสืบสานเจตนารมณ์เดิมในการช่วยเหลือผู้อื่นอย่างมุ่งมั่น และสำคัญที่สุดคือเรามีพนักงานที่ดี ซึ่งเรามองเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด ความร่วมมือร่วมใจตรงนี้คือเหตุผลว่าทำไมโอสถสภาจึงสามารถเป็นองค์กรที่ดี เติบโตได้อย่างยั่งยืน และมีชื่อเสียงไปทั่วโลกค่ะ
โอสถสภา (Osotspa) มีวิธีพัฒนาทักษะพนักงานอย่างไรบ้าง ?
ภัทรพร: ที่โอสถสภามีการทำงานในรูปแบบของ Scrum และ Agile เพื่อยกระดับการทำงานของพนักงานให้โดดเด่นขึ้น ผู้บริหารเน้นย้ำมากเรื่องการเปิดโอกาสให้พนักงานได้ปลดปล่อยพลัง ทั้งด้านความคิดสร้างสรรค์และพลังแห่งการเรียนรู้ ทุกคนสามารถคิดค้นและนำเสนอไอเดียได้อย่างอิสระ
นอกจากนี้เรายังเปิดโอกาสให้พนักงานทุกคนได้เป็นผู้นำ โดยมีทั้งการอบรมที่ช่วยสนับสนุนให้ผู้นำทำหน้าที่ได้ดีขึ้น รวมถึงช่วยดูแลคนที่มีแนวโน้มขึ้นมาเป็นผู้นำให้มีความพร้อมก่อนจะรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แถมยังมีต้นแบบอีกมากมายที่พร้อมมาแชร์ประสบการณ์และเป็นกรณีตัวอย่าง (Case Study) กลไกเหล่านี้จะทำให้พนักงานของเรากล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจ เป็นรากฐานที่ทำให้เราสามารถเติบโตและขยายแบรนด์ต่อไปอีกในอนาคตได้อย่างยั่งยืน
ที่สำคัญเรายังสนับสนุนให้พนักงานเติบโตในด้านการใช้ชีวิตนอกเหนือจากการทำงาน โดยมุ่งสนับสนุบกิจกรรมของพนักงานเพื่อสร้างชุมชนแห่งมิตรภาพ เรามีสโมสร มีชมรมที่อยู่ภายใต้การสนับสนุนของโอสถสภา เช่นชมรมฟุตบอล ชมรมถ่ายรูป ชมรมกอล์ฟ ชมรมปั่นจักรยาน สิ่งเหล่านี้ถือเป็นพื้นที่แห่งการมีส่วนร่วม (Engagement Area) ที่ทำให้พนักงานต่างแผนกมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น ช่วยให้การทำงานและเรียนรู้คล่องตัวขึ้น
ซึ่งในช่วงโควิด เพื่อน ๆ ในชมรมก็ช่วยเหลือกันอยู่ตลอดเวลา แถมยังจัดกิจกรรมออนไลน์มากมายเพื่อช่วยคลายเหงา ลดความเครียด และรักษาความสัมพันธ์ในตอนที่มาเจอหน้ากันที่ออฟฟิศไม่ได้ เรียกว่าแนวทางของโอสถสภาจะช่วยให้พนักงานมีฝีมือที่ดีขึ้น จิตใจผ่อนคลาย และมีความผูกพันกับทีมและองค์กรไปพร้อม ๆ กัน
ประเด็นเรื่องความแตกต่าง (DEI&B) เป็นธีมหลักของการประกาศรางวัล HR Asia ประจำปี 2022 โอสถสภา (Osotspa) มีมุมมองต่อเรื่องความหลากหลายในองค์กรอย่างไร ?
ภัทรพร: โอสถสภาให้ความสำคัญกับความหลากหลายและความเท่าเทียมมากค่ะ เราไม่มีข้อจำกัดของอายุ สีผิว เชื้อชาติ หรือเพศสภาพเลยแม้แต่น้อย ทุกคนสามารถเป็นตัวของตัวเองได้เลยโดยตั้งอยู่บนบริบทของความเหมาะสม เพราะเราเชื่อว่าการมีพนักงานที่แตกต่างกันจะทำให้องค์กรมีความสร้างสรรค์มากขึ้น สามารถคิดค้นนวัตกรรมและแนวทางแก้ปัญหาที่ต่างจากเดิม
ที่นี่ให้ความสำคัญกับการสร้างวัฒนธรรมและบรรยากาศการทำงานที่ดี พนักงานทุกคนถูกอบรมให้ยึดมั่นในการปฏิบัติต่อกันด้วยความสุภาพ เคารพสิทธิมนุษยชน ทุกคนจึงมีความเสมอภาค สามารถแลกเปลี่ยนความรู้ (Knowledge Sharing) กันได้โดยความสมัครใจ ระบบ HR ของเราก็จะเน้นไปที่การให้โอกาสอย่างเสมอภาค (Equity) ตั้งแต่ขั้นตอนสรรหา ว่าจ้าง แต่งตั้ง โยกย้าย ไม่มีการเลือกปฏิบัติหรืออคติระหว่างกันแน่นอนค่ะ เราให้เกียรติทุกคนตามแนวทางที่ระบุไว้ในจรรยาบรรณทางธุรกิจของบริษัท
และเราไม่ได้พูดอย่างเดียวนะ เราลงงบประมาณเพื่อออกแบบออฟฟิศให้ปลอดภัย ถูกสุขอนามัย เพื่อให้พนักงานทุกคนทำงานอย่างมีความสุข แม้จะเป็นคนที่มีความทุพพลภาพก็ตาม โอสถสภาก็ให้การสนับสนุนและโอสถสภาเองก็จะมีการจัดกิจกรรมเป็นระยะเพื่อส่งเสริม สร้างงาน และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยค่ะ
ตอนนี้เราอยู่กันในปี 2023 คุณภัทรพรคิดว่า HR ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องใดเป็นพิเศษ เพื่อให้พร้อมรับมือต่อสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ?
ภัทรพร: สถานการณ์โควิด-19 ทำให้หลายองค์กรต้องเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบากมากเลยนะคะ ดังนั้นการเตรียมตัวสร้างรากฐานให้แข็งแรงตลอดเวลาจะช่วยแก้ไขเรื่องนี้ได้มากจริง ๆ ค่ะ
เรื่องแรกที่ต้องใส่ใจคือการวางกลยุทธ์เพื่อพัฒนาคนให้ทันสมัย ยืดหยุ่น ปรับตัวเก่ง รู้เท่าทันโลกธุรกิจ นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้กับการทำงาน เช่นการยกระดับการทำงานโดยใช้ HR Tech เพื่อช่วยให้กระบวนการทำงานรวดเร็วและสะดวกสบายยิ่งขึน
จากนั้นให้คิดเรื่องการ Reskill, Upskill ให้ครอบคลุมทั้ง Soft Skills และ Functional Skills เพื่อให้คนของเราถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ รวมถึงอธิบายให้เห็นภาพว่าการทำงานที่นี่จะต่อยอดโอกาสทางอาชีพ สร้าง Career Path อย่างไรได้บ้างเพื่อให้พนักงานวางแผนชีวิตได้ง่ายขึ้น
ต่อไปก็คือเรื่องของการสร้างประสบการณ์ของพนักงาน (Employee Experience) อย่างที่โอสถสภาเชื่อว่านโยบายแบบ One Size Fit All หรือกฎเดียวใช้กับทุกคนนั้นไม่ได้ผลอีกต่อไป เราต้องรู้จักปรับสวัสดิการให้เหมาะสมเป็นรายคน เช่นเปลี่ยนบัตรเติมน้ำมันเป็นค่าไฟสำหรับรถไฟฟ้า หรือนโยบายสนับสนุนการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน อะไรแบบนี้ค่ะ
ให้ลองกลับมาถามตัวเองว่าองค์กรของเราสามารถสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับพนักงานแล้วหรือยัง หากทำได้ ก็จะช่วยเรื่องการรักษาพนักงานให้อยู่ด้วยกันไปนาน ๆ และยังดึงดูดให้มีผู้สมัครเข้ามาทำงานมากขึ้นด้วยค่ะ
คิดว่าทำไม HR ถึงช่วยสนับสนุนการเติบโตขององค์กรได้ ?
ภัทรพร: สำหรับพี่ให้คำจำกัดความของ HR ว่าเป็น “คนธรรมดาที่พิเศษ” ค่ะ หมายความว่าเราไม่ได้ตั้งตัวเหนือกว่าใคร ก็เป็นคนธรรมดาที่อยู่ร่วมได้กับทุกคน แต่มีพลังพิเศษที่คอยช่วยเหลือให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข ทั้งผู้บริหาร พนักงาน ตลอดจนบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้อง
พลังพิเศษนี้มีความเข้าใจเป็นพื้นฐาน เข้าใจทิศทางของบริษัท ความต้องการของผู้บริหารและพนักงาน เพื่อออกแบบและขับเคลื่อนวัฒนธรรมองค์กรให้มีมิติที่สนุก สร้างสรรค์และตอบโจทย์ธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน สรรหาคนที่ใช่ พัฒนาศักยภาพเพื่อต่อยอด มอบสิทธิสวัสดิการที่โดนใจ สร้างระบบการทำงานที่ปลอดภัยและเป็นมิตร เป็นเพื่อนคู่คิดที่ไว้ใจได้ HR ทุกคนที่นี่มีพลังพิเศษนี้ เพราะเป้าหมายของพวกเขาคือ ทำเพื่อให้พนักงานมีความสุขในการทำงาน และช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จตามแผนงานที่วางเอาไว้
คือเอาเข้าจริง ถ้าองค์กรไม่มี HR ก็ไม่ตายหรอก เราต้องยอมรับความจริงในข้อนี้ แต่องค์กรที่มี HR จะเติบโตอย่างเป็นระบบได้มากกว่า เพราะ HR ไม่ได้ทำหน้าที่แค่จัดการคน แต่ยังช่วยสร้างผู้นำให้กลายเป็น People Manager ที่สามารถบริหารจัดการทีมได้อย่างเข้าอกเข้าใจ หากเรามีผู้นำที่รู้เรื่องคนอย่างทะลุปรุโปร่งกระจายตัวอยู่ทั่วทั้งองค์กร ภายใต้การกำกับดูแลของ HR ที่พร้อมนำองค์ความรู้มาปรับแก้และพัฒนาตลอดเวลา ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่องค์กรนั้น ๆ จะประสบความสำเร็จ
HR ยังทำหน้าที่เป็นเหมือนตัวกลางที่คอยเชื่อมระหว่างผู้บริหารและพนักงาน บางองค์กรพนักงานจะไม่กล้าพูดคุยกับผู้บริหารโดยตรงแม้จะมีเรื่องไม่สบายใจมากแค่ไหน หากตัด HR ออกไปทั้งสองฝ่ายก็จะไม่มีกลไกให้สื่อสารกันได้เลย
สำคัญที่สุดคือ HR เปรียบดั่งเพื่อนคู่คิดที่ทุกคนสามารถมาปรึกษาเพื่อหาทางออก (Solution) ได้ตลอดเวลา นี่คือความพิเศษของ HR หรือความธรรมดาที่พร้อมอยู่เคียงข้างทุกคนค่ะ