หลีก 6 ข้อนี้ไว้ให้ไกล ถ้าไม่อยากสูญเสียความเป็นมืออาชีพในการทำงานในช่วง Work From Home
#เหมาะกับคนทำงานสายแข็ง
#รักษาความเป็นมืออาชีพในภาวะวิกฤติไวรัสระบาด
===
บทความขนาดสั้นที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทันทีชิ้นนี้ไม่เหมาะกับคนทำงานสายชิวที่คิดว่าการได้รับโอกาส Work From Home ในภาวะวิกฤติคือหนทางแห่งความสบาย แต่คือคนที่เข้าใจความเป็นจริงว่าช่วงเปลี่ยนผ่านเช่นนี้เป็นเรื่องที่คนเป็นหัวหน้ามีความหนักใจอยู่ไม่น้อย ซึ่งหากมองตามความเป็นจริงแล้ว บ้านไม่ใช่สภาพแวดล้อมที่ออกแบบมาสำหรับการทำงานตั้งแต่ต้น ทำให้ในช่วงแรกของการปรับตัวผลการทำงานของเราอาจจะดรอปลงได้จริงๆ เมื่อเราเห็นแล้วว่าปัญหามีอยู่จริง ทิป 6 ข้อต่อไปนี้อาจเป็นสิ่งเตือนใจสำหรับคนทำงานที่อยากจะรักษาความเป็นมืออาชีพของตนเองไว้ แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่เราควบคุมอะไรๆ ได้น้อยลง
#เมื่อไม่มีใครห้ามคุณ
#คุณต้องห้ามตัวเอง
1. ห้ามใส่ชุดนอนทำงาน (รู้นะมีหลายคนทำอยู่)
พอไม่ต้องไปออฟฟิศ ก็ไม่มีใครจ้องมอง พอไม่มีคนมอง ก็ไม่มีใครตัดสินเรา จากอิสระด้านสถานที่จึงนำมาสู่อิสระในการแต่งกาย และอันที่จริงนี่ก็คืออีกหนึ่งข้อดีในการทำงานที่บ้าน สำหรับใครที่ปกติตอนอยู่ออฟฟิศต้องแต่งตัวเรียบร้อยและเป็นทางการมากนี่ก็เป็นโอกาสที่เราจะได้แต่งตัวสบายๆ ไม่ต้องพิถีพิถันมาก แต่สิ่งที่เราต้องรู้คือสมองคนเรามีการเชื่อมโยงระหว่างสภาวะแวดล้อมรอบๆตัวซึ่งสามารถส่งผลย้อนกลับมายังอารมณ์และความรู้สึกของเราได้ ซึ่งเครื่องแต่งกายของเราก็เป็นหนึ่งในสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน เช่นนั้นแล้วจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจหากเราพบว่าในวันที่เรานอนตื่นสายไปสักนิดแล้วลุกขึ้นมาทำงานเลยทันทีตามตารางที่นัดไว้กับเพื่อนร่วมงาน สภาวะอารมณ์ของเราอาจจะไม่ตื่นตัวเท่าที่ควร แล้วยังอาจลุกลามทำให้วันนั้นทั้งวันของเราตกอยู่ในสภาวะสล็อตก็เป็นได้ ทางเลือกที่ดีกว่าคือการลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว สร้างบรรยากาศและความรู้สึกให้เหมือนวันทำงานปกติ…หลักการข้อนี้สามารถประยุกต์กับเรื่องอื่นๆ ในการ WFH เช่นดังข้อต่อไป
2. ทำงานในห้องนอนหรือโซฟา (สร้างพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ไว้ใช้ทำงาน)
เช่นกันครับ ถ้าจะทำก็ไม่ผิด แต่มันไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดแน่นอน น้อยคนนักที่จะต้านทานแรงดึงดูดของเตียงอันนุ่มอุ่นสบายได้ ใจความสำคัญคือการสร้าง ‘สภาพแวดล้อมในการทำงาน’ ที่มัน Productive ปราศจากสิ่งรบกวน เราควรจัดแบ่งโซนที่มีความชัดเจนที่มีไว้สำหรับการทำงานโดยเฉพาะ มีโต๊ะกว้างขวาง มีเก้าอี้ที่นั่งได้สบาย อากาศถ่ายเท จะเปิดเพลงคลอเบาๆ ก็ทำได้เต็มที่เพราะนี่คืออิสระที่เราได้เพิ่มขึ้นเมื่อทำงานที่บ้าน เราสามารถสร้างรวงรังแห่งการทำงานในฝันของเราขึ้นมาเองได้…แต่ถ้าเราปล่อยให้สัญชาติญานนำทางโดยไม่พยายามปรับเปลี่ยนสิ่งใดเลย ก็มีแนวโน้มค่อนข้างสูงที่เราจะถูกดึงดูดเข้าหาความสบายและอาจจบลงที่เตียงนอนก็เป็นได้
3. ห้ามทำตัวเหมือนเข้าถ้ำ (ข้อนี้สำคัญเป็นอันดับหนึ่ง)
ข้อนี้เป็นหัวใจสำคัญที่สุดของการทำงานที่บ้านเลยทีเดียว นั่นก็คือประเด็นเรื่องการติดต่อสื่อสาร สำหรับคนที่เนื้องานต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่นในทีมอย่าง เลขา หรือแอดมิน ก็คงจะไม่พลาดข้อนี้เท่าไหร่ เพราะปกติจำเป็นที่จะต้อง Standby เพื่อคอยประสานงานจัดการให้กับทีมงานอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่งานสามารถจบด้วยตัวเองคนเดียวก็อย่าได้พลาดคิดว่าการสื่อสารไม่จำเป็น เพราะงานสามารถที่จะมีการปรับเปลี่ยนได้เสมอ และถ้าเกิดมีเหตุฉุกเฉินเปลี่ยนแปลงอะไรกะทันหันขึ้นมาแล้วเราไม่อยู่ในสภาวะที่สามารถติดต่อได้ นั่นจะทำให้เราเสียความไว้เนื้อเชื่อใจและความเป็นมืออาชีพจากทีมงานเป็นอย่างมาก เราอาจจะคิดว่าเคลียงานเสร็จแล้ว เอาเวลาไปทำเรื่องส่วนตัวอย่างอื่นบ้างก็ไม่เห็นเป็นอะไร แต่ระลึกไว้ว่าการ Work From Home เป็นแค่เงื่อนไขหนึ่งที่แค่บอกว่าตัวเราไม่ได้อยู่ที่ออฟฟิศ แต่ใจของเราต้องพร้อมเสมอในการทำงานตลอดช่วงเวลางานที่ตกลงกันไว้ ซึ่งเราสามารถที่จะบริหารจัดการข้อตกลงกับหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานก่อนตั้งแต่แรกได้ว่าเวลาไหนที่เราจะมีการคุยงานกัน ด้วยความถี่มากน้อยแค่ไหน ผ่านเครื่องมือตัวไหน (ทุกวันนี้มีซอฟแวร์มากมายให้เลือกใช้) เพื่อที่ความความคาดหวังในการติดต่อสื่อสารจะได้ตรงกัน และถ้าคุณโชคดีคุณอาจจะได้เวลาชีวิตเพิ่มเติมจากการที่เราทำงานเสร็จเร็วขึ้น…แต่ก็อย่างที่บอกห้ามสาปสูญเข้าไปในถ้ำจนเพื่อนร่วมงานคิดว่าเราไม่ได้อยู่ในทีมอีกต่อไป
4. ห้ามปล่อยปละละเลยเรื่องสุขภาพ
ทุกคนอาจจะรู้ว่าการนั่งนานๆ โดยไม่ขยับร่างกายเลยส่งผลเสียต่อสุขภาพ ทุกคนรู้ว่าการมีชั่วโมงการทำงานที่ยืดยาวมากเกินไปทำให้สมดุลของชีวิตด้านอื่นๆ แย่ลง แต่รู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วระบบการทำงานออฟฟิศก็มีข้อดีอยู่บ้างเหมือนกัน นั่นก็คือการที่ชีวิตเราจะถูกผูกอยู่กับ ‘ตารางเวลา’ นั่นเอง
หลักๆ แล้วก็คือเวลากินและเวลานอน สองอย่างนี้นับเป็นกิจกรรมที่ร่างกายของเราชอบที่จะให้มันคงที่เสมอ ปัญหาก็คือมีหลายคนที่คิดว่าพอ Work From Home ก็คงไม่มีใครมาห้ามอะไรได้อีกต่อไป ทุกอย่างเป็นอิสระ วินัยกลายเป็นเรื่องของเมื่อวาน
ใช่, ชีวิตของคุณอาจจะยืดหยุ่นได้อีกมหาศาลเมื่อคุณทำงานที่บ้าน แต่ในขณะเดียวกันความสมดุลก็เป็นสิ่งสำคัญ บางสิ่งอาจปรับเปลี่ยน แต่คำแนะนำของเราคือ อย่าลืมดูแลสุขภาพให้แข็งแรง กินอาหารที่มีประโยชน์อย่างตรงเวลา นอนและตื่นเวลาเดิมทุกวัน เอาเวลาที่ไม่ต้องเสียกับการเดินทางมาออกกำลังกายให้มากขึ้น เท่านี้การ Work From Home ของคุณก็จะมีความยั่งยืนและมีประสิทธิภาพได้มากยิ่งขึ้น เผลอๆ จะมากกว่าตอนที่มาทำงานที่ออฟฟิศเสียอีก
5. ห้ามให้คนที่บ้านน้อยใจ
“ทำไมลูกอยู่บ้านแต่ลูกไม่สนใจเราเลย เอาแต่หมกตัวทำอะไรไม่รู้อยู่ที่ห้อง” นี่อาจเป็นความคิดที่ผุดขึ้นกับคนในครอบครัวหากเราไม่สื่อสารให้เข้าใจตรงกันตั้งแต่แรก อย่างแรกเราต้องคุยกับสมาชิกในบ้านที่อยู่ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ พี่น้อง หรือคนอื่นๆ ว่าช่วงนี้เราจะต้องปรับรูปแบบการทำงานมาทำที่บ้าน แต่ถึงอย่างไรเราก็ยังอยู่ใน ‘สถานะทำงาน’ นั่นหมายความว่าเราจะมีตารางการทำงานชัดเจนที่ต้องขอความร่วมมือสมาชิกร่วมชายคาไม่รบกวนในช่วงเวลาดังกล่าว รวมถึงสถานที่ที่เราใช้ทำงานที่อาจจะต้องจัดโซนขึ้นมาใหม่ หากเราไม่สื่อสารสิ่งเหล่านี้ให้ชัดเจน อาจจะทำให้คนที่บ้านรู้สึกว่าเราแปลกแยกและไม่เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ทั้งๆที่เราแค่ใช้เวลาทำงานซึ่งปกติมันจะเกิดขึ้นที่ออฟฟิศ แค่เพียงตอนนี้เราย้ายมันมาทำที่บ้านเท่านั้นเอง
6. ห้ามปล่อยโอกาสให้หลุดไปในภาวะวิกฤติ (WFH เคยเป็นสวัสดิการพิเศษที่มีแค่คนส่วนน้อยที่จะได้ แต่ในตอนนี้กลายเป็นนโยบายที่ใช้โดยทั่วไป)
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า ไม่ใช่ทุกคนจะได้รับโอกาสให้ได้ Work From Home (WFH) จะว่าไปแล้วอาจเป็นคนทำงานส่วนน้อยเสียด้วยซ้ำที่ได้สิทธินี้ ถ้าเราถอยออกมาดูในภาพระดับโลกเราจะเห็นว่าจริงๆ แล้ว WFH นับว่าเป็นเทรนด์การทำงานรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นในโลกตะวันตกที่เศรษฐกิจของเขาถูกขับเคลื่อนด้วย ‘แรงงานความรู้’ เพื่อสร้างธุรกิจที่มีความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมเป็นเครื่องผลักดันที่ก่อให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ ซึ่งบริษัททางเทคโนโลยีหรือบริษัทที่เน้นการใช้มันสมองของพนักงงานในการดำเนินธุรกิจเหล่านี้รู้ดีว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆ จากพนักงานไม่ใช่ ‘ร่างกาย’ ของพวกเขาแต่เป็น ‘ผลงาน’ ที่ถูกสร้างขึ้น ซึ่งผลงานที่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์เหล่านี้จะเกิดขึ้นได้จะต้องอาศัยรูปแบบการบริหารงานที่แตกต่างจากในอดีตที่พนักงานจะต้องตอกบัตรเข้างาน พักเที่ยงตรงเวลา นั่งอยู่ในคอกการทำงานของตัวเอง บริษัทต้องเริ่มสนใจมากขึ้นว่าสภาวะแวดล้อมแบบไหนที่ความคิดสร้างสรรค์จะงอกเงยได้มากที่สุด ซึ่งก็มีหลายอย่างที่พวกเขาพยายามทำเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีที่สุดทั้งในเรื่องของ เวลาการทำงานแบบยืดหยุ่น โครงสร้างองค์กรแบบแบนราบให้ไอเดียของทุกคนมีคุณค่าเท่าเทียม ออฟฟิศที่มีความผ่อนคลาย มีโต๊ะส่วนกลางให้คนได้มาแชร์ไอเดีย และ อื่นๆ อีกมากมาย และแน่นอนว่า WFH ก็ถูกนับอยู่ในหมวด ‘สวัสดิการพิเศษ’ ที่บริษัทใช้ในการดึงดูดตัวคนเก่งหรือ Talent ให้เข้ามาทำงานในบริษัทของตนเอง โดยการ WFH อาจจะกำหนดให้อยู่ในระดับพอดีๆ เช่นสามารถ WFH ได้สัปดาห์ละหนึ่งวัน เป็นต้
แต่ในช่วงเวลานี้คลื่นกระแส WFH ได้เกิดขึ้นทั่วโลกจากแรงกดดันปรากฏการณ์ COVID-19 outbreak ทำให้นี่อาจเป็นครั้งแรกของพนักงานหลายๆคนที่จะได้ทำงานรูปแบบนี้ รวมถึงหัวหน้างานที่ยังสับสนว่าจะ Manage ลูกน้องผ่านโลกออนไลน์อย่างไรดีให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
HR NOTE จึงอยากจะให้คนที่ได้ทำงานแบบ WFH เป็นครั้งแรกตระหนักว่านี่คือโอกาสที่เราจะแสดงให้หัวหน้าเห็นว่า เราเองก็มีความรับผิดชอบและความเป็นมืออาชีพมากพอที่จะทำงานโดยไม่ต้องให้ใครมาควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด ในอนาคตหัวหน้าอาจจะให้อิสระเรามากขึ้นในการทำงานรูปแบบที่ยืดหยุ่นโดยยืดผลลัพธ์ของการทำงานเป็นหลัก และไม่แน่ว่าในระยะยาวเราเองก็อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้กระแส WFH สามารถจุดติดขึ้นได้ในประเทศไทย เมื่อพนักงานมีความสุขมากขึ้นจากการได้มีเวลาจัดการเรื่องส่วนตัวมากขึ้น ลดเวลาที่จะเสียไปกับการจราจรที่ติดขัด ระดับความเครียดลดลง ผ่อนคลายมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็สามารถรักษาผลการทำงานให้คงที่หรือดีขึ้นด้วยซ้ำ เมื่อนั้น WFH ก็อาจจะกลายเป็น New normal ของโลกการทำงานในสังคมไทยในอนาคตอันใกล้ได้ก็เป็นได้ ขอให้ทุกท่านสามารถเปลี่ยนวิกฤติครั้งนี้ให้เป็นโอกาสได้สำเร็จ