Search
Close this search box.

ประโยชน์ของการจดบันทึก เคล็ดลับความสำเร็จที่ใช้แค่สมุดและปากกา

HIGHLIGHT

  • ไม่ว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันจะพัฒนาไปไกลแค่ไหน แต่การจดบันทึกด้วยมือก็ยังเป็นวิธีที่ถูกยอมรับว่าช่วยเพิ่มศักยภาพในการจำและช่วยสร้างนิสัยรักการเรียนรู้ให้กับผู้ปฏิบัติได้จริง 
  • การจดบันทึกโดยพื้นฐานคือการจดอะไรก็ได้ในหัวลงบนสมุดเพื่อช่วยในการจำ แต่การวางโครงสร้างในการจดบันทึกจะช่วยให้เราจัดเก็บเนื้อหาได้ตรงจุดมากขึ้น ทั้งนี้ไม่จำกัดแค่การจดบันทึกด้วยมือเท่านั้น เพราะการใช้นวัตกรรมและเครื่องมือให้เหมาะสมก็เป็นปัจจัยที่ต้องให้ความสำคัญเช่นกัน
  • การจดบันทึกระหว่างสัมภาษณ์งานคือเคล็ดลับที่ HR Recruiter สามารถนำมาใช้เพื่อแยกและเน้นย้ำจุดเด่นของผู้สมัคร นอกจากนี้การทำ Interview Note ยังช่วยให้ผู้สมัครเชื่อมั่นว่าบริษัทให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตนนำเสนอเป็นพิเศษ เป็นการโน้มน้าวทางจิตวิทยาที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการว่าจ้างอีกด้วย
  • การจดบันทึกคือนิสัยพื้นฐานของคนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน และช่วยให้สมองสามารถประมวลผลข้อมูลในหัวจนเกิดเป็นองค์ความรู้ใหม่ ๆ ได้อีกมากมายในอนาคต

ประโยชน์ของการจดบันทึก เคล็ดลับความสำเร็จที่ใช้แค่สมุดและปากกา

การจดบันทึกคือวิธีเพิ่มศักยภาพการทำงานที่ใช้ต้นทุนน้อยที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยเมื่อตอนเป็นนักเรียน แต่พอโตขึ้นและไม่ถูกบังคับ การจดบันทึกก็ค่อย ๆ กลายเป็นสิ่งไกลตัวจนบางคนเลิกทำไปโดยปริยาย แม้มันคือเป็นทักษะพื้นฐานของคนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นศิลปินระดับโลกอย่างลีโอนาร์โด ดา วินซี่, ปาโบล ปิกาโซ หรือมหาเศรษฐีแห่งวงการไอทีอย่าง บิล เกตส์ จากไมโครซอฟ หรือ ริชาร์ด แบรนสัน จากเวอร์จิ้น กรุ๊ปส์ก็ตาม

การจดบันทึกมีประโยชน์อย่างไร และเราควรเริ่มวางโครงสร้างการจดบันทึกให้มีประสิทธิภาพด้วยวิธีไหน บทความนี้จะพาทุกคนไปเรียนรู้เพื่อพิสูจน์ว่าเราสามารถเปลี่ยนชีวิตด้วยกระดาษและปากกาเพียงแท่งเดียวได้จริง 

การจดบันทึก มีความสำคัญอย่างไร

ผลวิจัยจาก Frontiers in Psychology เมื่อปี ค.ศ.2017 ระบุว่าการจดบันทึกด้วยมือจะช่วยให้เราจำข้อมูลต่าง ๆ ได้นานกว่าการจดบันทึกด้วยคอมพิวเตอร์ เพราะการจดด้วยมือจะเปิดโอกาสให้เราได้ลงมือทำและมีเวลาคิดทบทวนสิ่งที่เขียนอย่างช้า ๆ นอกจากนี้ยังค้นพบว่าการจดบันทึกด้วยมือต้องใช้สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้มากกว่าวิธีอื่น 

ดาวิด อัลเลน (David Allen) นักเขียนหนังสือชื่อดังเรื่อง Getting Things Done กล่าวว่า “วิธีที่ง่ายและได้ผลที่สุดในการนำสิ่งที่อยู่ในหัวของคุณออกมาก็คือปากกาและกระดาษ” ขณะที่คุณดาวิด แซ็ก (David Sax) ผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Revenge of Analog ก็ยืนยันในสิ่งเดียวกันว่า “(เพราะการใช้กระดาษและปากกา) ไม่ต้องใช้พลังงาน ไม่ต้องเสียเวลาเปิดเครื่อง ไม่ต้องลงโปรแกรม และไม่ต้องเชื่อมต่อกับฐานเก็บข้อมูลภายนอกหรือระบบคลาวด์” 

ในปี ค.ศ.1970 ไมเคิล เจ ฮาวว์ (Michael J. Howe) ได้ทำการวิจัยเรื่อง “ความจำของนักศึกษาเมื่อเวลาผ่านไป 1 สัปดาห์” และค้นพบว่าคนที่จดบันทึกมีความจำดีกว่าคนที่ไม่จดบันทึกถึง 7 เท่า นั่นหมายความว่าการจดบันทึกมีประโยชน์ต่อทุกคนอย่างมีนัยสำคัญ

ประโยชน์ของการจดบันทึก เคล็ดลับความสำเร็จที่ใช้แค่สมุดและปากกา

และนี่คือข้อดี 5 ประการที่คนชอบจดบันทึกจะได้รับ

1. การจดบันทึกช่วยเพิ่มศักยภาพในการเรียนรู้ : การจดบันทึกคือปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มศักยภาพของกระบวนการเรียนรู้ เพราะจะช่วยฝึกให้เรารู้จักการประมวลผล จัดลำดับความสำคัญของเนื้อหา และเพิ่มทักษะการเลือกใช้คำก่อนเลือกบันทึกอะไรสักอย่างลงบนสมุด นี่คือจุดเริ่มต้นของการสร้างความเข้าใจและเชื่อมโยงองค์ความรู้ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน

2. มีความเข้าใจถึงความสำคัญของการจำข้อมูล : อาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ความจำคือเรื่องสำคัญของมนุษย์ตั้งแต่ระดับพื้นฐาน เช่นการที่เราไม่อยากสูญเสียความทรงจำต่อคนที่เรารัก, นักเรียนที่อยากจำเนื้อหาให้พร้อมสำหรับการสอบ, นักพูดที่ต้องออกไปพูดคนเดียวหลายชั่วโมง เป็นต้น ความเข้าใจตรงนี้จะทำให้เราเห็นความสำคัญของการเตรียมตัว การเก็บข้อมูล ซึ่งอาจหมายถึงการจดบันทึกมากมายล่วงหน้าจนแน่ใจว่าจะสามารถทำตามเป้าหมายได้อย่างดีที่สุดจริง ๆ

3. การจดบันทึกช่วยให้รู้ว่าควรบริหารจัดการข้อมูลอย่างไร : คนที่ไม่สนใจเรื่องการจดบันทึกมาก่อนจะไม่รู้เลยว่าปัจจุบันเทคโนโลยีด้านการบันทึกพัฒนาไปไกลแค่ไหน เช่นเราสามารถสรุปบันทึกการประชุมและส่งต่อให้คนมากมายพร้อมข้อมูลครบถ้วนได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ยังไม่รวมเครื่องมืออีกมากมายที่จะช่วยได้ตั้งแต่เรื่องการเตรียมตัวไปจนถึงการจัดเก็บข้อมูลที่ถูกใช้งานไปแล้วเพื่อทบทวนและลงความเห็นสำหรับนำไปปรับปรุงต่อยอด ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดเวลาทำงาน ตลอดจนเปลี่ยนนิสัยของเราให้มีระเบียบมากขึ้น

4. คนที่ชอบจดบันทึกจะรู้วิธีเก็บข้อมูลเมื่อเจอเนื้อหาที่ยากปกติแล้วเมื่อต้องเข้าเรียนในหัวข้อที่ยากเป็นพิเศษ คนที่ไม่มีนิสัยชอบจดบันทึกเป็นประจำจะใช้วิธีจดบันทึกในสิ่งที่พวกเขาคิดว่าดี แต่ความคิดดังกล่าวมักยังไม่ผ่านการกลั่นกรอง ทำให้สมองได้รับข้อมูลที่ไม่จำเป็นมากเกินไป แต่คนที่ชื่นชอบการจดบันทึกจะรู้วิธีบริหารจัดการความรู้ที่ได้รับมาอย่างเป็นระบบ บางคนอาจเตรียมพร้อมด้วยการศึกษาหัวข้อที่จะไปฟังมาล่วงหน้าเพื่อจำแนกสิ่งที่ต้องการรู้ออกมาเป็นส่วน ๆ เช่นสิ่งที่อยากรู้ที่สุด, สิ่งที่ต้องรู้, สิ่งที่ควรรู้, สิ่งที่ไม่ต้องรู้ก็ได้ และจดเนื้อหาโดยอ้างอิงไปตามความสำคัญนั้น ๆ หรือบางคนอาจหาข้อมูลของผู้พูดล่วงหน้าเพื่อทำความเข้าใจเรื่องทัศนคติ, แนวคิดว่ามีความน่าเชื่อถือสำหรับการจดบันทึกอย่างจริงจังหรือไม่ รวมถึงการศึกษาศัพท์เฉพาะเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่ผู้พูดนำเสนอมากขึ้น เป็นต้น

5. การจดบันทึกช่วงให้เป้าหมายสำเร็จง่ายขึ้นมีการวิจัยจาก Dominican University of California ระบุว่าการจดเป้าหมายเอาไว้จะช่วยกระตุ้นให้เราอยากบรรลุเป้าหมายมากขึ้น โดยผู้วิจัยพบว่าโอกาสในการประสบความสำเร็จตามเป้าหมายพุ่งสูงขึ้นถึง 33% เลยทีเดียว ซึ่งจะเป็นการจดเอาไว้ในบันทึกส่วนตัว หรือประยุกต์เป็นป้ายติดบนกำแพงออฟฟิศอย่างที่หลาย ๆ ออฟฟิศทำก็ได้เช่นกัน

การจดบันทึกให้มีประสิทธิภาพ มีวิธีการอย่างไร

ประโยชน์ของการจดบันทึก เคล็ดลับความสำเร็จที่ใช้แค่สมุดและปากกา

Forbes Business Council ได้ยกคำพูดของเจฟฟ์ ซู (Jeff Su) ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดมาอธิบายเรื่องนี้ โดยกล่าวว่า “ยิ่งสับสนน้อยลงเท่าไหร่ การจดบันทึกก็ยิ่งได้ผลมากขึ้นเท่านั้น” ซึ่งเราสามารถแบ่งชั้นตอนการจดบันทึกออกมาเป็น 3 ส่วน คือ

1. ก่อนการจดบันทึก: เราสามารถเริ่มต้นการจดบันทึกได้ง่ายแค่ไหน ?

2. ระหว่างการจดบันทึก: เราสามารถจดบันทึกได้รวดเร็วแค่ไหน ?

3. หลังการจดบันทึก: เราสามารถทำความเข้าใจกับสิ่งที่เขียนได้แค่ไหน ?


เทคนิคการจดบันทึกมีอยู่หลายวิธี แต่ Forbes แนะนำ 2 วิธีนี้ เพราะเป็นพื้นฐานให้นำไปต่อยอดได้ง่ายที่สุด ประกอบด้วย

Common-Sense Methodology หรือวิธีการจดบันทึกโดยสามัญสำนึก

เป้าหมาย : เพื่อจับใจความสำคัญและส่งต่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง เหมาะกับการใช้บันทึกการประชุม

การจดบันทึกด้วยวิธีนี้เป็นวิธีพื้นฐานที่หลายคนทำกันอยู่แล้วทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว ซึ่งหากคุณมีหน้าที่บันทึกการประชุม นี่คือหัวข้อย่อยที่ระบุในการจดบันทึกของคุณ

– หัวข้อการประชุม

– รายละเอียดการประชุม (วัน เวลา สถานที่ และผู้เข้าร่วม)

– สรุปการประชุม

– สิ่งที่ต้องทำหลังการประชุม

– หมายเหตุ (อื่น ๆ)

ทั้งนี้โดยปกติแล้วคนมักนำบทสรุปไปไว้ในตอนท้ายของการจดบันทึก แต่คุณสามารถย้ายพื้นที่สำหรับเขียนสรุปมาไว้ตรงด้านบนสุดของบันทึกการประชุมได้เลย เพื่อให้เราเข้าใจได้ง่ายขึ้นเมื่อกลับมาอ่านบันทึกการประชุมดังกล่าวในอนาคต


การจดบันทึกโดยใช้วิธี P.A.R.A. Structure

เป้าหมาย : จดบันทึกสิ่งที่สนใจและอยากทำให้สำเร็จ เหมาะกับคนที่ชอบค้นคว้าหาความรู้ เป็นการจัดกลุ่มให้กับเนื้อหาที่ต้องการบันทึก อาจใช้วิธีติดสติกเกอร์ไว้เป็นสีเพื่อให้รู้ว่าเนื้อหาที่บันทึกนั้นอยู่ในหมวดหมู่ใด อนึ่งวิธีนี้สามารถทำได้ง่ายกว่าหากใช้ระบบแฮชแท็กบนแอปพลิเคชั่น

– Project : บันทึกสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้บรรลุเป้าหมายภายใต้กรอบเวลาที่กำหนด (Deadline)

– Area of Responsibility : บันทึกขอบเขตที่ต้องรับผิดชอบเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เช่นการบริหารเงิน, การพัฒนาบุคลากร, การวางแผนเพื่ออนาคต

– Resource : บันทึกสิ่งที่สนใจเก็บเอาไว้เป็นแหล่งข้อมูลสำหรับหยิบไปใช้ในภายหลัง

Achieve : บันทึกหัวข้อที่ยังไม่สามารถนำไปใช้ หรือบันทึกเรื่องงานที่ผ่านไปแล้วพร้อมข้อสรุป

อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าปัจจุบันมีแอปพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือที่ช่วยให้การจดบันทึกของคุณง่ายขึ้นอีกมาก ดังนั้นเราสามารถเลือกใช้ตามความเหมาะสมได้เลย เพราะสิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ว่า “เราเลือกจดบันทึกด้วยวิธีใด” แต่เป็นการ “สร้างวัฒนธรรมการจดบันทึก” ให้เกิดขึ้นจนเป็นนิสัยต่างหาก

ประโยชน์ของการจดบันทึก เคล็ดลับความสำเร็จที่ใช้แค่สมุดและปากกา
เราขอแนะนำหนังสือเรื่อง The Little Bullet Book by David Sinden
ซึ่งพูดถึงเรื่อง Bullet Journal Method หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า “บูโจ” ซึ่งแตกต่างจากการทำแพลนเนอร์หรือ To-Do List ทั่วไปตรงที่บูโจค่อนข้างมีความอิสระ ไร้กฎเกณฑ์ตายตัว
จึงเหมาะกับการปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่
หนังสือเล่มนี้มีคอนเซปต์ว่า “จงบริหารจัดการชีวิตด้วยความฝันที่อยู่รอบตัว”
มีเป้าหมายเพื่อสอนบูโจแบบง่าย ๆ โดยกำหนดสิ่งที่เราควรทำใน 52 สัปดาห์แรก ผสมกับภาพวาดลายเส้นจากศิลปินที่มีชื่อเสียงจาก London University
เพื่อเสริมสร้างจินตนาการและช่วยให้มือใหม่เริ่มต้นได้อย่างเป็นระบบที่สุด

การจดบันทึกมีประโยชน์กับ HR อย่างไร

การว่าจ้างพนักงานที่ตรงกับความต้องการของบริษัทคือเป้าหมายสูงสุดของ HR Recruitment บันทึกการสัมภาษณ์ (Interview Note) จึงมีความสำคัญมากในการเก็บข้อมูลของผู้สมัครทุกคนอย่างครบถ้วนและเท่าเทียมที่สุด ข้อดีของการจดบันทึกคือสามารถทำได้รวดเร็ว ไม่ต้องใช้อุปกรณ์มากมายหรือกลับมาถอดความอีกครั้งเหมือนการบันทึกข้อมูลด้วยการอัดเสียงหรืออัดวีดีโอ การจดบันทึกจะช่วยให้ HR Recruiter จำจุดเด่นของผู้สมัครแต่ละคนได้ง่ายขึ้นโดยเฉพาะกรณีที่มีผู้สมัครหลายคน อีกทั้งยังสามารถบันทึกเกี่ยวกับกริยาท่าทาง, ความมั่นใจ หรือข้อมูลอื่น ๆ แบบทันท่วงที (Real Time) ซึ่งทำให้การคัดเลือกผู้สมัครมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ประโยชน์ของการจดบันทึกต่อ HR Recruitment มีดังนี้

– การจดบันทึกช่วยให้ HR Recruiter เก็บข้อมูลของผู้สมัครได้ง่ายขึ้น : ผู้สมัครทุกคนควรได้สิทธิ์ในการแสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ และผู้สัมภาษณ์ก็ควรจำจุดเด่นของผู้สมัครแต่ละคนให้ได้เช่นกัน การจดบันทึกจึงเป็นคำตอบที่นอกจากจะช่วยให้ผู้สัมภาษณ์จดจำพนักงานได้ง่ายขึ้นแล้ว ยังสามารถระบุข้อมูลที่น่าสนใจของผู้สมัครแต่ละคนเพื่อใช้เปรียบเทียบประกอบการพิจารณาได้อีกด้วย

– การจดบันทึกช่วยปกป้องการตัดสินใจของ HR Recruiter : ในการสัมภาษณ์งานมักมีผู้สมัครที่ศักยภาพสูงเข้าร่วม แต่มีคำตอบหรือทัศนคติที่ขัดแย้งกับนโยบายของบริษัท ซึ่งท้ายสุดแล้วอาจนำไปสู่ข้อครหาว่าบริษัทเลือกจ้างพนักงานด้วยความไม่เป็นธรรม การจดบันทึกนี้เองที่จะช่วยให้ผู้สัมภาษณ์มีข้อมูลสำคัญไว้ตอบโต้ ยกตัวอย่างเช่นผู้สมัครบางรายอาจบอกว่ากำลังมองหาตำแหน่งงานระยะสั้น แต่ตำแหน่งที่สมัครเข้ามาจำเป็นต้องรับการอบรมในระยะยาว

ดังนั้นต่อให้มีศักยภาพมากแค่ไหนบริษัทก็ควรพิจารณาคนที่มีศักยภาพน้อยกว่าแต่พร้อมเรียนรู้และทำงานกับบริษัทในระยะยาวตามนโยบายที่วางไว้มากกว่า ทั้งนี้ข้อมูลบางอย่างเป็นสิ่งที่ผู้สมัครพูดออกมาแบบรวดเร็วซึ่งผู้สัมภาษณ์อาจลืมได้ง่าย ๆ หากไม่มีการจดบันทึก

– การจดบันทึกช่วยให้กระบวนการ HR Recruitment น่าเชื่อถือมากขึ้น : ผู้สมัครจะรู้สึกเชื่อมั่นในการสัมภาษณ์มากขึ้นเมื่อเห็นว่าผู้สัมภาษณ์ให้ความสำคัญกับสิ่งที่กำลังนำเสนอ และเชื่อมั่นว่าเรื่องราวของตนจะถูกนำไปพิจารณาอย่างครบถ้วน ทำให้ผู้สมัครยอมรับผลลัพธ์ที่ตามมาได้ง่ายกว่าการสมัครงานที่ผู้สัมภาษณ์ดูไม่ใส่ใจในสิ่งที่ผู้สมัครนำเสนอเลย

ประโยชน์ของการจดบันทึก เคล็ดลับความสำเร็จที่ใช้แค่สมุดและปากกา


บันทึกการสัมภาษณ์ควรมีองค์ประกอบหลัก 3 ข้อ ดังนี้

– สั้นและกระชับ : บันทึกการสัมภาษณ์ไม่จำเป็นต้องเป็นข้อความยาว ๆ แต่ควรเน้นไปที่ความโดดเด่นแตกต่างของผู้สมัครแต่ละคน และสิ่งที่คาดว่ามีผลต่อการพิจารณาก็พอ

– อ่านรู้เรื่อง : บันทึกการสัมภาษณ์ควรเขียนด้วยลายมือที่อ่านได้ง่าย เพราะถือเป็นข้อมูลสำคัญที่หลายฝ่ายนำมาใช้ประกอบการพิจารณาว่าจ้าง ทั้งนี้หากผู้สัมภาษณ์รีบจดจนอ่านได้แค่คนเดียวจริง ๆ ก็สามารถทำสรุปออกมาอีกครั้งเพื่อให้คนอื่นเข้าใจง่ายขึ้นก็ได้

– บันทึกการสัมภาษณ์ต้องตรงประเด็น ไม่ไร้สาระ : สิ่งที่ HR Recruiter ควรเขียนในบันทึกการสัมภาษณ์คือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาและนโยบายของบริษัทเท่านั้น ไม่ควรระบุเรื่องภาพลักษณ์, รสนิยมทางเพศ, ทัศนคติทางการเมือง หรืออะไรก็ตามที่เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ทั้งนี้เพราะบันทึกการสัมภาษณ์ถือเป็นข้อมูลสำคัญในการพิจารณาผู้สมัครที่จำเป็นต้องน่าเชื่อถือสำหรับทุกฝ่ายเท่านั้น


วิธีการจดบันทึกการสัมภาษณ์สำหรับ HR Recruiter มีดังนี้

– เริ่มต้นด้วยการอธิบายแนวทางการสัมภาษณ์ : HR Recruiter ควรชี้แจงก่อนว่าบริษัทคาดหวังอะไรจากการสัมภาษณ์ครั้งนี้ และอธิบายแนวทางการพูดคุย เช่นพร้อมเปิดโอกาสให้ถามคำถามระหว่างการพูดคุยโดยต้องรอให้ถึงช่วงท้ายของการสัมภาษณ์ เป็นต้ การอธิบายรูปแบบการสัมภาษณ์ล่วงหน้าจะทำให้ผู้สมัครรู้สึกสบายใจและช่วยให้ HR Recruitment ได้ข้อมูลที่จริงใจมาประกอบการพิจารณา

– อธิบายว่าทำไมถึงต้องจดบันทึกการสัมภาษณ์ : เมื่อผู้สมัครเห็นว่าสิ่งที่ตัวเองนำเสนอมีความสำคัญมากพอให้ HR Recruiter จดบันทึก ก็จะทำให้ผู้สมัครมีความมั่นใจและเชื่อมั่นในบริษัท นอกจากนี้ก็ควรอธิบายว่าการจดบันทึกทำเพื่อช่วยให้จำข้อมูลระหว่างการสัมภาษณ์ได้ง่ายขึ้น ไม่ได้เอาข้อมูลไปใช้ในวัตถุประสงค์อื่น ซึ่งพอผู้สมัครเห็นถึงความใส่ใจตรงนี้ก็จะผ่อนคลายและอยากให้ข้อมูลมากกว่าเดิม

– มีปฏิสัมพันธ์กับผู้สมัคร : การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้สมัครจะทำให้ HR Recruiter ได้ข้อมูลที่น่าสนใจมากกว่าการอ่านคำถามที่เตรียมมาไว้เป็นข้อ ๆ โดยไม่สนใจสถานการณ์ตรงหน้า ผู้สัมภาษณ์สามารถใช้ภาษากายและการสื่อสารไร้เสียง (Non Verbal Communication) เป็นตัวช่วย เช่นการจ้องตา (Eye-Contact) หรือการถามต่อยอด (Follow-Up Question) เพื่อความเข้มข้นให้กับการสัมภาษณ์ก็ได้ นอกจากนี้การดึงความสนใจด้วยภาษากายจะทำให้ผู้สมัครลดความสนใจในการจดบันทึกของผู้สัมภาษณ์ลงซึ่งเป็นการลดความกดดันไปในตัว

– HR Recruitment ต้องกล้าถามหากได้รับคำตอบที่ไม่ชัดเจนหากผู้สมัครตอบคำถามไม่ชัดเจน ผู้สัมภาษณ์สามารถขอให้ผู้สมัครตอบคำตอบซ้ำอีกครั้งหรือยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น เพราะบางทีก็เป็นทาง HR Recruiter เองที่ถามได้ไม่ชัดเจน หรือเป็นทางผู้สมัครที่จงใจเลี่ยงตอบในสิ่งที่ตนไม่รู้จริง การถามย้ำจึงเป็นกลไกที่จะช่วยให้กระบวนการ HR Recruitment มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นนั่นเอง

– HR Recruiter ควรมีกระดาษหรือสมุดบันทึกโดยเฉพาะนี่คือข้อผิดพลาดที่ผู้สัมภาษณ์หลายคนทำนั่นก็คือการจดบันทึกลงบนใบสมัครหรือเอกสารของผู้สมัคร เพราะนอกจากจะดูเสียมารยาทและไม่เป็นระเบียบแล้ว ยังอาจทำให้ผู้พิจารณาคนอื่น ๆ รู้สึกถึงความลำเอียงไม่ว่าจะเป็นการบันทึกในแง่บวกหรือแง่ลบก็ตาม

คนที่ประสบความสำเร็จ มีวิธีการจดบันทึกอย่างไร

มีคำนิยามจาก อลิสโตเติล โอนาสซิส (Aristotle Onassis) มหาเศรษฐีด้านการเดินเรือชาวกรีซที่กล่าวว่า “จงพกสมุดโน้ตติดตัวและจดบันทึกทุกสิ่งที่คุณพบเจอ เมื่อคุณมีไอเดียใหม่ ๆ ให้จดบันทึกลงไป, เมื่อคุณเจอคนใหม่ ๆ ให้จดบันทึกทุกอย่างที่คุณรู้เกี่ยวกับเขาลงไป วิธีนี้จะช่วยให้คุณรู้ว่าบุคคลดังกล่าวมีคุณค่ามากแค่ไหน เมื่อคุณเจอสิ่งที่น่าสนใจ ให้จดบันทึกลงไป มันจะช่วยให้คุณบริหารจัดการสิ่งนั้นได้ดีขึ้น และหากคุณไม่จดบันทึกลงไป สักวันคุณก็จะลืม ซึ่งนี่คือบทเรียนราคาแพงที่โรงเรียนไม่เคยสอนคุณ”

สิ่งที่นักธุรกิจหรือคนที่ประสบความสำเร็จมีเหมือนกันนอกเหนือจากเม็ดเงินจำนวนมหาศาลแล้วก็คือนิสัยรักการจดบันทึก ดังนั้นเราขอนำเรื่องราวของ 5 ธุรกิจมาอธิบายเพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพได้ง่ายขึ้น ดังนี้ 

ประโยชน์ของการจดบันทึก เคล็ดลับความสำเร็จที่ใช้แค่สมุดและปากกา

Richard Branson เจ้าของ Virgin Groupแม้จะเป็นมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินมากมาย แต่ ริชาร์ด แบรนสัน ก็ยังไปไหนมาไหนพร้อมกับสมุดจดส่วนตัวเสมอ โดยเขามองว่าสมุดบันทึกคือ “เครื่องมือที่ทรงพลังที่สุด” เพราะเขาได้รวบรวมกลยุทธ์ทางธุรกิจจากประสบการณ์ของตนเอาไว้มากมายจนว่ากันว่าในแต่ละปีเขาใข้สมุดไปมากกว่า 12 เล่มเลยทีเดียว

ส่วนตัวเขามีนิสัยชอบการจดบันทึกเพราะเคยมีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ (Dyslexia) ทำให้ต้องจดเพื่อป้องกันไม่ให้ลืมสิ่งที่กำลังศึกษาอยู่ นอกจากนี้เขายังมีนิสัยชอบทดลองใช้บริการของบริษัทตัวเอง และจดบันทึกข้อดี-ข้อเสียมาพูดคุยกับทีมเพื่อพัฒนาการทำงานให้ดีขึ้นเสมอ ที่สำคัญเขายืนยันว่าการจดบันทึกช่วยป้องกันการถูกเอาเปรียบทางธุรกิจได้มาก โดยเล่าเอาไว้ในหนังสือ The Virgin Way : Everything I Know about Leadership ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเจอลูกค้าเนียนเลื่อนวันส่งงาน แต่เขาสามารถตอกกลับไปได้ทันทีเพราะได้บันทึกเอาไว้อย่างละเอียดทั้งเวลาและสถานที่จนทำให้ลูกค้าดิ้นไม่หลุด เป็นต้น

ทั้งนี้แบรนสันให้ข้อสรุปเกี่ยวกับความสำคัญของการจดบันทึกเอาไว้ว่า “เมื่อมีแรงบันดาลใจเกิดขึ้น คุณต้องคว้ามันไว้ให้ได้ (…) ดังนั้นไม่สำคัญเลยว่าคุณจะจดบันทึกมันด้วยวิธีไหน ขอแค่มันถูกบันทึกไว้ได้ก็พอ”


ประโยชน์ของการจดบันทึก เคล็ดลับความสำเร็จที่ใช้แค่สมุดและปากกา

Bill Gates เจ้าของ Microsoft :  ริชาร์ด แบรนสัน เคยบอกว่าผู้นำถึง 99% ไม่นิยมการจดบันทึกหากวัดจากประสบการณ์ของเขา แต่บิล เกตส์คือ 1% ที่เหลือนั้น โดยกล่าวว่า “แม้ บิล เกตส์ จะขึ้นชื่อเรื่องความเป็นอัจฉริยะด้านคอมพิวเตอร์ แต่เขาก็ยังนิยมใช้กระดาษกับปากกาเพื่อการจดบันทึกอยู่ดี”

“ผมเคยไปร่วมงานกับบิล เกตส์ที่ลอนดอน ซึ่งเขาต้องเป็นคนกล่าวปิดงาน และผมเห็นเขาหยิบกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ยับ ๆ ออกมาจากกระเป๋าและต้องคอยกดตรงรอยพับเพื่อคลี่ออกให้อ่านได้ง่ายขึ้น” 

ขณะที่ บิล เกตส์ บอกว่าในวันหยุดเขาจะอ่านหนังสืออย่างน้อยวันละ 3 ชั่วโมง และสรุปใจความให้เหลือราว 20% โดยเขาชอบจดบันทึกเอาไว้ตรงขอบหน้ากระดาษเมื่อเจอประเด็นที่น่าสนใจ หรือต้องการแสดงความคิดเห็นของตัวเองที่อาจสอดคล้องหรือขัดแย้งกับผู้เขียนก็ได้


ประโยชน์ของการจดบันทึก เคล็ดลับความสำเร็จที่ใช้แค่สมุดและปากกา

Jose Mourinho ผู้จัดการทีมฟุตบอลชื่อดังอาชีพผู้จัดการทีมฟุตบอลคืออาชีพที่ต้องบริหารทรัพยากรบุคคลเป็นจำนวนมาก และมีรูปแบบการวัดผลที่ท้าทายที่สุดในโลกผ่านการแข่งขันที่เกิดขึ้นแทบทุกสัปดาห์ ดังนั้นผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จจึงเหมือนการพิสูจน์ตัวเองในเรื่องภาวะผู้นำ (Leadership) ไปเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตามโลกของฟุตบอลมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่เคยใช้ได้ผลในวันหนึ่งก็อาจใช้ไม่ได้ผลเมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้นผู้จัดการทีมต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์เพื่อพลิกสถานการณ์ให้กลับมาได้เปรียบโดยเร็วที่สุดเสมอ โดยหนึ่งในผู้จัดการทีมที่ขึ้นชื่อเรื่องการจดบันทึกมากที่สุดก็คือ โจเซ่ มูรินโญ่ ซึ่งอธิบายวิธีการจดบันทึกระหว่างแมตช์ของเขาเอาไว้ว่า

“ระหว่างการแข่งขันในครึ่งแรก ผมจะสังเกตสถานการณ์เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการพูดคุยในช่วงพักครึ่ง (Half-Time Team Talk)

ผมจะวิเคราะห์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในการแข่งขันและจดบันทึกทันทีเพื่อเป็นข้อมูลไว้หาคำตอบว่าจะช่วยเหลือนักเตะในทีมได้อย่างไร ดังนั้นการจดบันทึกของผมคือการเตรียมความพร้อมเพื่อให้การปรับแผนการเล่นมีประสิทธิภาพมากขึ้น”


ประโยชน์ของการจดบันทึก เคล็ดลับความสำเร็จที่ใช้แค่สมุดและปากกา

Ludwig van Beethoven ศิลปินเอกของโลก : หากคุณคือคนที่สนใจดนตรี ลุดวิจ ฟาน เบโทเฟน (Ludwig van Beethoven) คีตกวีและนักเปียโนชาวเยอรมันคือชื่อที่ทุกคนต้องรู้จัก แต่รู้ไหมว่าเบื้องหลังของบทเพลงระดับตำนานอย่าง Symphony No.9, Moonlight Sonata, Piano Sonata No.14 และอีกมากมายนั้นคือ “สมุดบันทึก” ที่เขาพกติดตัวเสมอจนกลายเป็นภาพจำเรื่อยมาจนปัจจุบัน

นอกเหนือจากการจดบันทึกความเห็นส่วนตัวแล้ว เบโทเฟนยังชอบการจดบันทึกประโยคจากนวนิยายหรือบทกวีอีกด้วย แต่ส่วนใหญ่แล้วเขาใช้สมุดเพื่อการแต่งเพลงเป็นหลัก โดยจัดวางโต๊ะเล็ก ๆ เอาไว้คู่กับเปียโนที่บ้านเพื่อเปลี่ยนเสียงในหัวให้กลายเป็นเสียงจริงและจดบันทึกท่วงทำนองดังกล่าวลงบนสมุดทันที 

Wilhelm Von Lenz (วิลเฮล์ม วอน เลนซ์) ผู้เขียนหนังสือเรื่องชีวิตประวัติของบีโทเฟนชื่อ Beethoven et ses trois styles (1855) เล่าว่า “ในขณะที่เบโทเฟนกำลังดื่มด่ำอยู่กับการดื่มเบียร์ เขาสามารถพูดว่าฉันนึกอะไรขึ้นได้ และหยิบสมุดมาจดบันทึกทันที ซึ่งมันอาจเป็นเพียงไอเดียเล็กน้อย, บทเพลงสักท่อน หรืออักษรภาพที่ไม่มีใครเข้าใจก็ได้ แต่พูดได้เลยว่าสมุดบันทึกของเขาคือขุมทรัพย์ทางความคิดจริง ๆ”

ในช่วงท้ายของชีวิตสมุดโน้ตได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการใช้ชีวิตของบีโธเฟน เพราะเขามีภาวะสูญเสียการได้ยินจนต้องสื่อสารด้วยการเขียนลงบนสมุดเท่านั้น เรียกได้ว่า “สมุด, ดนตรี, เบโทเฟน” คือสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้อย่างแท้จริง


ประโยชน์ของการจดบันทึก เคล็ดลับความสำเร็จที่ใช้แค่สมุดและปากกา

Leonardo Da Vinci จิตรกรเอกของโลกลีโอนาร์โด ดา วินซี คือศิลปินชาวอิตาลีในยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ (Renaissance) เจ้าของรูปวาดโมนาลิซ่า (Monalisa) ที่ชื่นชอบการจดบันทึกเป็นอย่างมาก โดยมีรายงานว่าเขาเขียนบันทึกเอาไว้ถึง 13,000 หน้า (และอาจมีอีกราว 10,000 หน้าที่สูญหาย) ครอบคลุมทั้งเรื่องศิลปะ, ปรัชญา, วิทยาศาสตร์ รวมถึงวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งบันทึกของดา วินซี ถูกมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการบูรณาการที่เอาความรู้จากหลายศาสตร์มาเชื่อมโยงกันจนเกิดเป็นความรู้ใหม่ ๆ ตามมา

ลีโอนาร์โด ดา วินซี พกสมุดโน้ตจิ๋วขนาดประมาณ 3.5 x 2.5 นิ้วติดตัวเสมอโดยติดเอาไว้กับเข็มขัดเพื่อให้พร้อมใช้งานทันทีหากเขาเกิดไอเดียอะไรขึ้นมา หรืออยากวาดภาพอะไรสักอย่าง นอกจากเขายังได้ชื่อว่าเป็น “คนที่ขี้สงสัยที่สุดในโลก” เขาตั้งคำถามกับทุกอย่างที่พบเจอ และจดบันทึกทุกอย่างลงบนสมุดอย่างไร้ระเบียบ เราสามารถเห็นบันทึกเรื่องปรัชญา, ภาพร่าง, จดหมาย, เมนูอาหารเย็น, บทกวี อยู่ภายในหน้ากระดาษเดียวกัน และจุดเด่นอีกอย่างเกี่ยวกับการจดบันทึกของดา วินซีก็คือ “การเขียนกลับด้านแบบภาพสะท้อนในกระจก” (Mirror Writing) ที่ยังคงมีการถกเถียงกันว่าเขาต้องการเก็บบันทึกเป็นความลับ หรือบางส่วนที่บอกว่าเขาแค่ไม่ต้องการให้หมึกเลอะเพราะเป็นคนถนัดซ้ายเท่านั้น

ประโยชน์ของการจดบันทึก เคล็ดลับความสำเร็จที่ใช้แค่สมุดและปากกา

แม้การศึกษาค้นคว้าของดา วินซี จะสุดโต่งไปมาก เช่นการผ่าซากศพเพื่อค้นหาว่ากลไลด้านกายวิภาคของมนุษย์ทำงานอย่างไร แต่เมื่อเวลาผ่านไปบันทึกของเขาก็ได้กลายเป็นรากฐานของวิทยาศาสตร์และการแพทย์สมัยใหม่ หรือแม้การออกแบบเครื่องร่อนที่ทำให้ผู้ทดลองบาดเจ็บ แต่แบบจำลองเครื่องบินกว่า 100 ประเภทที่เขาร่างไว้ก็ได้กลายเป็นรากฐานของเฮลิคอปเตอร์และเครื่องร่อนต่าง ๆ ในปัจจุบัน

วิธีคิดของลีโอนาร์โด ดา วินซี ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญต่อแวดวงการศึกษาเช่นกัน โดยแพม เบอร์นาร์ด (Pam Burnard) ศาสตราจารย์ด้านศิลปะจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์กล่าวว่า “ถ้าเราดูการออกแบบอันน่าทึ่งของดา วินซี จะเห็นว่าเขาได้รวมศาสตร์ต่าง ๆ เข้าด้วยกันเพื่อหาความรู้และแก้ปัญหา เราจำเป็นต้องทำให้เด็ก ๆ คิดในทางเดียวกันนี้ เพราะผู้ใหญ่ในวันหน้าจะต้องแก้ปัญหาที่แตกต่างออกไปจากสิ่งที่พวกเขาเคยเผชิญ” ซึ่งแนวคิดนี้นำไปสู่การพัฒนารูปแบบการศึกษาที่เรียกว่า STEAM ประกอบด้วยวิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรม (Engineering) ศิลปะ (Art) คณิตศาสตร์ (Mathematics) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นแนวทางการศึกษาเพื่อสร้างทักษะที่สำคัญในศตวรรษที่ 21 ดังนั้นใครจะรู้ล่ะว่าสมุดบันทึกที่เราเขียนตามความเชื่อมั่นของตนเองนั้น อาจมีคุณค่าจนเปลี่ยนแปลงบางอย่างในอนาคตได้เช่นกัน

บทสรุป

คาโรไลน์ เว็บบ์ (Caroline Webb) นักพฤติกรรมศาสตร์ผู้เขียนหนังสือเรื่อง How to Have a Good Day ให้ความเห็นว่า “มันไม่สำคัญเลยว่าจะเป็นการเขียนลงบนกระดาษหรือบนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิค ตราบใดที่คุณสามารถถ่ายทอดความคิดและระบายความเครียดออกมาจากหัวได้โดยเร็วที่สุด” เพราะสมองที่ปลอดโปร่งจะช่วยให้เราบริหารจัดการความคิดได้ดี แถมยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการพักผ่อนอีกด้วย

เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ก็ไม่แปลกที่การจดบันทึกด้วยกระดาษ ปากกา จะลดความนิยมลงและหันไปใช้แอปพลิเคชั่นมากขึ้น ซึ่งแม้จะมีผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่าการจดบันทึกด้วยมือจะทำให้ความทรงจำติดอยู่ในสมองได้นานกว่าการใช้เทคโนโลยี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันเครื่องมือจดบันทึกมีการพัฒนาไปมากจนมีหลายอย่างที่การจดบันทึกแบบดั้งเดิมทำไม่ได้ เช่นการใส่ Hashtag, การจัดกลุ่มก้อนของเนื้อหาและเข้าถึงงานได้ทันทีผ่านระบบ Cloud หรือแม้แต่ฟังก์ชันพื้นฐานอย่างการค้นหา (Search Engine) ที่ช่วยให้เราเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วต่างจากสมุดบันทึกที่มักมีข้อมูลกระจัดกระจายอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นทุกวิธีการมีประโยชน์ แค่เราเลือกเครื่องมือที่เหมาะกับการใช้งานก็พอ

ท้ายสุดนี้ ริชาร์ด แบรนสัน (Richard Branson) ได้สรุปให้เห็นถึงการสร้างคุณค่าให้การจดบันทึกเอาไว้ว่า 

“สิ่งสำคัญที่สุดคือการมีวินัยเพื่อลงมือทำ และเปลี่ยนสิ่งที่คุณจดบันทึกเอาไว้ให้กลายเป็นจริง”

และนี่คือเคล็ดลับความสำเร็จง่าย ๆ ที่เราอยากให้ทุกคนลองทำ

ผู้เขียน

Picture of HREX.asia

HREX.asia

Connect People to the Best HR Solution เพื่อสนับสนุนการเติบโตขององค์กรผ่านผู้คน

บทความที่เกี่ยวข้อง