Highlight
|
กลับมาอีกครั้งกับงาน มหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 29 มหกรรมที่คนรักการอ่านไม่ควรพลาด โดยจัดขึ้นแล้วตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 20 ตุลาคม 2567
หาก HR ท่านไหนไปงานนี้ แต่ไม่รู้จะซื้อหนังสืออะไรดีล่ะก็ HREX ขอแนะนำหนังสือ 5 เล่มจากสำนักพิมพ์ Bookscape มาให้อ่านกัน แต่ละเล่มที่เลือกมานี้ล้วนตอบโจทย์เรื่องการทำงานที่ HR ควรรู้ในด้านใดด้านหนึ่งเสมอ รับรองว่าอ่านแล้ว จะสามารถนำไปยกระดับองค์กรให้ดีขึ้น น่าอยู่ขึ้น และประสบความสำเร็จมากขึ้นได้แน่นอน
1. องค์กรไม่กลัว (Fearless Organization)
Amy C. Edmondson เขียน, ทิพย์นภา หวนสุริยา แปล
คำโปรยปก
ในโลกที่ผันผวน ไม่แน่นอน ซับซ้อน และคลุมเครือ (VUCA) องค์กรต้องการความกล้าหาญที่จะฝ่าคลื่นลมยิ่งกว่ายุคไหน ๆ ทว่าแม้จะจ้างคนมีพรสวรรค์มามากเพียงใด ความเก่งก็ไม่อาจฉายแสงหากถูก “ความกลัว” บดบัง แนวคิดชั้นเลิศกลับถูกแช่แข็ง และหายนะอาจเกิดขึ้นได้ภายใต้วัฒนธรรมความกลัว
เอมี ซี. เอ็ดมอนด์สัน ศาสตราจารย์จากวิทยาลัยธุรกิจฮาร์วาร์ด และผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดแห่งปี 2021 โดย Thinkers50 กลั่นกรองประสบการณ์วิจัยกว่า 30 ปี สู่แนวคิด “ความปลอดภัยเชิงจิตวิทยา” เพื่อแนะแนวทางก้าวข้ามความกลัวที่คอยฉุดรั้งประสิทธิภาพขององค์กร และเปิดพื้นที่ให้คนทำงานได้เติบโตอย่างสร้างสรรค์ ผ่านองค์ความรู้และแนวปฏิบัติที่ทำได้จริง อาทิ
- แนวทางสร้างพื้นที่ปลอดภัยที่เปิดรับความเห็นต่าง ข้อผิดพลาด และไอเดียนอกกรอบ
- “ชุดเครื่องมือของผู้นำ“ และวิธีตอบสนองอย่างสร้างสรรค์ต่อความคิดเห็น
- กลยุทธ์การสร้างนวัตกรรมผ่าน “เสรีภาพที่จะล้มเหลว” และการกระตุ้นความล้มเหลวที่ชาญฉลาด
- บทเรียนจากกรณีศึกษาหลากหลายแวดวง ทั้งพิกซาร์ กูเกิลเอ็กซ์ นาซา ไปจนถึงภัยพิบัติโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
มาเปลี่ยนความกลัวเป็นความกล้า เปลี่ยนความเงียบเป็นความเห็น และเปลี่ยนความล้มเหลวเป็นความสำเร็จ นี่คือคู่มือชั้นยอดสำหรับสร้างองค์กรที่แข็งแกร่งจากภายใน และส่งเสริมให้คนทำงานซึ่งเป็น “หัวใจ” ขององค์กร เรียนรู้และเติบโตได้โดยปราศจากความกลัว
ทำไม HR ควรอ่าน?
วัฒนธรรมความกลัว ไม่ว่าจะกลัวความผิดพลาด กลัวล้มเหลว กลัวเห็นต่าง ฯลฯ เป็นอุปสรรคที่ขัดขวางความสำเร็จขององค์กร และขัดขวางการเติบโตของพนักงาน จึงเป็นเรื่องดีหากผู้บริหารและฝ่ายทรัพยากรบุคคลร่วมมือกันคิดหานโยบายที่จะช่วยบ่มเพาะความปลอดภัยเชิงจิตวิทยาในองค์กร เพื่อให้องค์กรเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์และความสำเร็จอย่างแท้จริง
2. ที่ (น่า) ทำงาน: ศาสตร์และศิลป์แห่งการสร้างที่ทำงานชั้นยอด (The Best Place to Work)
Ron Friedman เขียน, นรา สุภัคโรจน์ แปล
คำโปรยปก
- ทำไมที่ทำงานชั้นยอดถึงยอมจ้างคุณมา ‘เล่น’
- เราจะออกแบบออฟฟิศอย่างไรให้ ‘ใส่ใจทุกรายละเอียด’ และ ‘ส่งเสริมพลังสร้างสรรค์’ ไปพร้อมกัน
- ทำไมบริษัทที่ประสบ ‘ความสำเร็จ’ ถึงให้รางวัลกับ ‘ความล้มเหลว’
- กลวิธีเปลี่ยน ‘กลุ่มคนแปลกหน้า’ ให้กลายเป็น ‘ชุมชน’ ต้องทำอย่างไร
- ที่ทำงานสมัยใหม่ก้าวข้ามปัญหา ‘work-life balance’ แล้วผสมผสานงาน ชีวิตส่วนตัว และครอบครัว เข้าด้วยกันอย่างลงตัวได้อย่างไร
- ทำไมพนักงานที่มี ‘ความสุข’ หมายถึง ‘กำไร’ ที่มากขึ้น
- คาสิโน โลกวิดีโอเกม และนักเจรจาต่อรองกับคนร้าย สอนอะไรเรา เรื่องงานและที่ทำงาน
The Best Place to Work โดย รอน ฟรีดแมน นักจิตวิทยาสังคม ผู้สนใจศึกษาแรงจูงใจของมนุษย์และพฤติกรรมองค์การ ตอบโจทย์ท้าทายเรื่อง ‘ศาสตร์และศิลป์แห่งการสร้างที่ทำงานชั้นยอด’ ในโลกยุคใหม่ ผ่านข้อค้นพบล่าสุดจากงานวิจัยด้านประสาทวิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม การบริหารจัดการ ความคิดสร้างสรรค์ ฯลฯ ร่วมด้วยกลเม็ดเคล็ดลับจากบริษัทชั้นนำ เช่น กูเกิล แอมะซอน และสตาร์บัคส์
หนังสือเล่มนี้เสนอคำตอบสำหรับผู้บริหารและว่าที่ผู้นำแห่งอนาคต เพื่อออกแบบและลงแรงสร้าง ‘ที่ (น่า) ทำงาน’ ในฝัน ที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพ นวัตกรรม ความสุข ความรู้สึกผูกพันและมีส่วนร่วม ผลงานที่น่าภาคภูมิ และคุณภาพชีวิตที่ดีของคนทำงานทุกคน
ทำไม HR ควรอ่าน?
ที่ทำงานไม่ควรเป็นแค่สถานที่ แต่ที่ทำงานที่ดีหมายถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพของคนทำงาน หนังสือเล่มนี้จะชี้ให้เห็นว่าสภาพแวดล้อมการทำงานส่งผลต่อคนทำงานได้มากเพียงใด และเราจะช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตและความสุขในการทำงานให้คนทำงานผ่านการสร้าง “ที่ (น่า) ทำงาน” ได้อย่างไร
3. Designing Your Work Life: คู่มือออกแบบชีวิตที่ใช่-งานที่ชอบ ด้วย Design Thinking
Bill Burnett และ Dave Evans เขียน, นรา สุภัคโรจน์ แปล
คำโปรยปก
- “งาน” คือองค์ประกอบสำคัญในชีวิตมนุษย์ คนเราทำงานเฉลี่ยอย่างน้อย 80,000 ชั่วโมงตลอดทั้งชีวิต ทว่าสถิติคนทำงานทั่วโลกที่ทำงานอย่าง “ไร้สุข” กลับสูงถึง 85 เปอร์เซ็นต์!
- คุณเป็นหนึ่งใน 85 เปอร์เซ็นต์นี้ใช่หรือไม่
- คุณเฝ้ารอให้ถึงวันศุกร์ และเกลียดวันจันทร์เป็นที่สุดใช่ไหม
- คุณไม่มีความสุขกับงาน เหลือทนกับเจ้านาย รู้สึกว่างานไร้ความหมาย และคิดว่าการลาออกคือคำตอบอยู่หรือเปล่า
- หนังสือเล่มนี้จะบอกคุณว่า อย่าเพิ่งลาออก มาออกแบบงานกันใหม่ดีกว่า!
Designing Your Work Life ผลงานเล่มล่าสุดจากผู้เขียน Designing Your Life ชวนมาออกแบบชีวิต-การงานที่ปรารถนา ด้วยวิธีคิดอย่างนักออกแบบ หรือ Design Thinking พร้อมเจาะลึกแนวทางรับมือกับปัญหาสารพันของคนทำงาน อาทิ เราควรเลือกเงินหรือความหมาย ทำอย่างไรเมื่องานท่วมจนรับไม่ไหว เราจะใช้ประโยชน์จากการเมืองในที่ทำงานได้หรือไม่ และอะไรคือทักษะสำคัญของการงานแห่งอนาคต
หาก Designing Your Life คือเรื่องของจินตนาการและการออกแบบอนาคตที่วาดฝัน
Designing Your Work Life ก็คือการลงมือสร้างจินตนาการและอนาคตเหล่านั้นให้เป็นจริง
พร้อมจะออกแบบ “ชีวิตที่ใช่-งานที่ชอบ” กันหรือยัง?
ทำไม HR ควรอ่าน?
หนังสือเล่มนี้จะพาไปประยุกต์ใช้ Design Thinking เพื่อช่วยออกแบบชีวิตการทำงาน ซึ่งนอกจากจะใช้ออกแบบการทำงานของคนทำงานเองแล้ว คนทำงาน HR สามารถนำวิธีการและแนวคิดในเล่มไปปรับใช้เพื่อช่วยให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาด้านการทำงานต่าง ๆ ของพนักงานได้ เช่น หากพนักงานคิดจะลาออก จะช่วยออกแบบงานใหม่ให้ดีขึ้นได้อย่างไรเพื่อรักษาพนักงานไว้
4. วิชาสานสัมพันธ์: เคล็ดลับการสื่อสาร-สร้างสัมพันธ์ในโลกธุรกิจและชีวิตส่วนตัว (Connect: Building Exceptional Relationships with Family, Friends and Colleagues)
David L. Bradford และ Carole Robin เขียน, สานุช ณ ถลาง แปล
คำโปรยปก
จากคอร์สเรียนยอดนิยมตลอดกาลของหลักสูตรปริญญาโทบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สู่คู่มือเปลี่ยนความสัมพันธ์ให้ลึกซึ้งและทรงพลัง!
ความสัมพันธ์ที่ดีคือกุญแจของชีวิตที่ประสบความสำเร็จทั้งในโลกการทำงานและชีวิตส่วนตัว และการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพก็คือหัวใจของทุกความสัมพันธ์ เดวิด แบรดฟอร์ด และ แคโรล โรบิน ผู้พัฒนาวิชา Interpersonal Dynamics หรือ Touchy-Feely ร่วมกันสกัดแก่นวิชาอันทรงพลัง ผสมผสานองค์ความรู้ด้านจิตวิทยาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล มาเป็นหลักการสื่อสารอย่างมี IQ – EQ เพื่อฝ่าทางตันและพิชิตยอดเขาแห่งความสัมพันธ์ ด้วยหลากหลายเคล็ดลับที่ใช้ได้จริง เช่น
- วิธีเปิดเผยตัวตนและความเปราะบางด้วย “กฎ 15 เปอร์เซ็นต์”
- การให้ฟีดแบ็กแบบ “ไม่ข้ามเส้น” และ “เจาะจงพฤติกรรม”
- เทคนิคกะเทาะเปลือก “ความขัดแย้ง” เพื่อแก้ปัญหาฝังลึก
- วิธีใช้ “อารมณ์” อย่างมีประสิทธิภาพ
- หนทางรักษา “สมดุล” และ “ขีดเส้น” ความสัมพันธ์
เพราะทุกความสำเร็จมีรากฐานจากความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน คนรัก เพื่อนร่วมงาน เจ้านายลูกน้อง หรือผู้บริหารธุรกิจ วิชาสานสัมพันธ์ จะพาคุณไปเรียนรู้วิธีรักษา ต่อยอด เติมเต็มความสัมพันธ์ “แบบพิเศษ” เพื่อเปลี่ยนความสัมพันธ์จากผิวเผินเป็นผูกพัน จากง่อนแง่นเป็นแข็งแกร่ง จากคู่แข่งเป็นคู่คิด และเปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่ที่มุ่งสู่เป้าหมายได้ด้วยการสื่อสารที่ตอบโจทย์อย่างแท้จริง
ทำไม HR ควรอ่าน?
งาน HR เป็นงานที่ต้องใช้ทักษะการสื่อสารสูงมาก หนังสือเล่มนี้คือคู่มือชั้นยอดที่ให้เทคนิคด้านการสื่อสารในระดับต่างๆ รวมถึงการสื่อสารในการทำงาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย รักษาความสัมพันธ์ และเป็นการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง เช่น การให้ฟีดแบ็กอย่างตรงไปตรงมาและไม่ล้ำเส้น การสื่อสารเพื่อคลี่คลายความขัดแย้ง เป็นต้น
5. ตำรับด่วนซ่อมใจ (The Instant Mood Fix)
Dr. Olivia Remes เขียน, สุญญาตา เมี้ยนละม้าย แปล
คำโปรยปก
เครียด ตระหนก วิตก ลังเลใจ อารมณ์อะไรก็ซ่อมได้!
จะดีแค่ไหนถ้ามียาขนานพิเศษที่ช่วยบรรเทาสารพัดอาการทางใจได้เหมือนที่เรากินยาแก้เจ็บป่วยทางกาย ดร.โอลิเวีย รีมส์ ระบุอารมณ์เชิงลบ 10 ประเภท ที่ปิดกั้นศักยภาพและกัดกร่อนจิตใจหากปล่อยให้เรื้อรัง ตั้งแต่ความรู้สึกถูกปฏิเสธ เหงา สิ้นหวัง กังวล ขาดแรงจูงใจ หรือรู้สึกท่วมท้นจนเกินรับไหว
ณ วินาทีที่อารมณ์ถั่งโถมเข้าใส่ ตำรับด่วนซ่อมใจ เล่มนี้ช่วยคุณได้ด้วย “ยาฉุกเฉิน” ชนิดอ่านจบในสองนาทีเพื่อกอบกู้ในกรณีวิกฤต สอดแทรกข้อมูลวิทยาศาสตร์เบื้องหลังสารพัดอารมณ์ พร้อมกลยุทธ์ระยะยาวที่เป็นดั่ง “วัคซีน” เพื่อรับมือและสร้างภูมิคุ้มกันในอนาคตด้วยวิธีง่ายๆ ที่คุณอาจคาดไม่ถึง เช่น ประโยชน์ของการ “ทำชุ่ยๆ” ไปก่อน วิธีกอบกู้ตัวเองผ่านการเขียน ฯลฯ
เพราะเราต่างมีวันที่หลงทาง หมดไฟ และใจพัง หนังสือเล่มนี้จะเป็นเสมือน “กล่องยาสามัญประจำใจ” ที่จะช่วยประคองคุณออกจากพายุทางอารมณ์ และพร้อมลุกขึ้นใหม่ด้วยใจที่แข็งแรงอีกครั้ง
ทำไม HR ควรอ่าน?
ปัญหาสุขภาพจิตเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญในองค์กรยุคใหม่ เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้เปรียบเสมือนตำรับด่วนที่ให้เทคนิคเยียวยาจิตใจ ซึ่งหลายปัญหาในเล่มเป็นสิ่งที่คนทำงานน่าจะประสบพบเจอกันบ่อยครั้ง เช่น งานท่วมท้นจนรับมือไม่ไหว ตัดสินใจไม่ได้เด็ดขาด หรือภาวะหมดไฟขาดแรงจูงใจที่พบบ่อยในยุคนี้ การที่องค์กรมีนโยบายที่ช่วยดูแลใส่ใจพนักงานในด้านสุขภาพจิต ย่อมส่งผลดีต่อองค์กรในระยะยาว หนังสือเล่มนี้จึงนับเหมาะทั้งกับคนทำงาน HR รวมถึงเหมาะจะมีไว้ติดชั้นหนังสือในออฟฟิศด้วยเช่นกัน