HIGHLIGHT
|
เดินทางมาถึงสัปดาห์ที่ 3 กันแล้วหลักสูตร HR of the Future รุ่นที่ 1 จาก Disrupt โครงการพัฒนาผู้นำที่ให้ความสำคัญเรื่องคน โดยในสัปดาห์นี้โฟกัสไปที่เทคโนโลยีกับการประยุกต์ใช้งานในสายทรัพยากรบุคคล ซึ่งได้รับเกียรติจากวิทยากรหลายท่าน อาทิ คุณ รุตม์ – อานนทวงศ์ มฤคพิทักษ์ VP of People จาก LINE MAN Wongnai, คุณ เจมส์ – ธีรานนท์ ศิริกุลพิริยะ นักวางแผนกลยุทธ์ จาก Insightist รวมทั้ง คุณ กระทิง – เรืองโรจน์ พูนผล Group Chairman จาก KBTG
เทคโนโลยีจะเข้ามาช่วยการทำงานของ HR อย่างไรบ้าง ? HREX สรุปมาให้แล้ว
กรณีศึกษา LINE MAN Wongnai เมื่อเราไม่จำเป็นต้องมีเทคโนโลยีแพง ๆ ขอแค่มีคนทำงานตัวเลขเก่ง ๆ ก็พอ
เริ่มต้นการบรรยายจาก คุณ รุตม์ – อานนทวงศ์ มฤคพิทักษ์ VP of People จาก LINE MAN Wongnai ผู้นำแพลตฟอร์มออนดีมานด์และข้อมูลร้านอาหารของไทย ที่กล่าวถึง Ideal Combination ในการผสม Business & Core Values และ Analytic Tools & Automation เข้าด้วยกัน
โดย Core Values ของ LINE MAN Wongnai ประกอบด้วย
- Innovate Faster : มีทีม Tech เป็นของตัวเองเพื่อการพัฒนาและขับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว โอบรัดการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และเน้นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
- Go Deeper : ทำงานโดยใช้ Data เป็นตัวนำ เนื่องจากต้องรู้ข้อมูลร้านอาหารในไทยทั้งหมด
- Respect Everyone : เป็นตัวกลางระหว่างทุกคน เช่น ร้านอาหาร ไรเดอร์ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมากมาย จึงต้องเคารพทุกคน อ่อนน้อมถ่อมตน ที่สำคัญคือต้องทำสิ่งที่ถูกต้องและตอบโจทย์ทุกฝ่ายเสมอ เพื่อการเติบโตไปด้วยกัน
สิ่งเหล่านี้เป็นโจทย์สำคัญสำหรับ HR ที่จะต้องหา “คน” ให้สอดคล้องกับ Core Value เพราะในเชิงการทำงาน เราไม่จำเป็นต้องมีเทคโนโลยีแพง ๆ ก็ได้ ขอแค่มีคนทำงานเก่ง ๆ ก็พอ ทั้งนี้ LINE MAN Wongnai ได้ยกตัวอย่างกรณีศึกษาเพื่อการขับเคลื่อนความสำเร็จใน HR ดังนี้
- Steamline : ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยกระบวนการและการปฏิบัติกงานให้มีประสิทธิภาพ เช่น การประมวลผลไฟล์ Performance Review ที่เพิ่มขึ้นจาก 80 ไฟล์ในปี 2019 มาเป็น 240 ไฟล์ในปี 2023 ก็ใช้ Python ใน Excel เพื่อช่วยรวมไฟล์แต่ละไฟล์เข้าเป็นไฟล์เดียว, หรือการประเมินการขึ้นเงินเดือนที่ใช้ Google Sheet เข้ามาช่วยลดเวลาในการทำงานลง เป็นต้น
- Enhance : ใช้เทคโนโลยีในการยกระดับ Employee Experience เช่น โครงการ Referral Program ที่ใช้ Google Looker Studio ในการ Tracking หรือกระทั่งการยกระดับ Employee Engagement ใช้ Google Apps Script สร้างโค้ดง่าย ๆ เชื่อมโยงกับ Slack เพื่อสร้าง Internal Communication แบบรายบุคคล
- Identify : ใช้เทคโนโลยีเพื่อดูข้อมูลเชิงลึกและเทรนด์ที่เกิดขึ้น เช่น Google Looker Studio สร้าง Dashbaord Data Visualization เพื่อดูว่าคนที่มีชั่วโมงการประชุมาก ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานหรือไม่ ? หรือกระทั่งการใช้เทคโนโลยีในการประมวลผล Engagement Survey
ทั้งนี้ จะเห็นว่า LINE MAN Wongnai ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีราคาสูงเลย ส่วนใหญ่เป็นเครื่องมือฟรีด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้คุณรุตม์จึงแนะนำว่า “ให้หาคนที่มีความรู้เรื่องตัวเลขและสามารถเขียนโค้ดง่าย ๆ ได้เข้ามาร่วมทีม HR แล้วชีวิตของคุณจะง่ายขึ้นอย่างน้อย 50%”
INSIGHT + AI = FUTURE BUSINESS
ต่อด้วย Session ของคุณ เจมส์ – ธีรานนท์ ศิริกุลพิริยะ นักวางแผนกลยุทธ์ จาก Insightist ที่กล่าวถึงอนาคตของธุรกิจที่ AI (Artificial intelligence) จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยเขามองว่า AI ไม่ใช่เครื่องมือ แต่คือยุคสมัยแล้ว
ทั้งนี้มีงานวิจัยและผลสำรวจมากมายที่กล่าวว่า ทุกธุรกิจในทุกอุตสาหกรรมจะถูก AI Disrupt อาทิ Goldman Sachs ที่บอกว่า AI จะเข้ามาแทนที่งาน 300 ล้านงาน หรือ Mckinsey ที่กล่าวถึงทุกธุรกิจและทุกแผนกที่ได้รับผลกระทบ และ Gartner เองก็เคยเขียนบทความเกี่ยวกับการมาถึงของ AI ในงาน HR ว่า จะเข้ามาช่วยในการทำงานมากมาย เช่น เพิ่มประสิทธิภาพในการเขียน Job Description, ช่วยประมวลผลข้อมูลพนักงานจากไฟล์จำนวนมาก เป็นต้น
ซึ่งการใช้ AI เข้ามาทำงานบางงานนั้น ไม่ใช่อนาคต แต่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว เช่น Adobe ที่สามารถสร้างภาพและภาพเคลื่อนไหวจาก AI หรือ Microsoft 365 Copilot ที่ใช้ AI เป็นตัวช่วยให้การทำงานง่ายขึ้น โดยเฉพาะ ChatGPT เป็น AI Tools ตัวหนึ่ง และเป็นแค่เพียงจุดเริ่มต้นพื้นฐานของ AI หลายตัวบนโลก
นอกจากนี้ คุณเจมส์ยังเล่าถึง AI Transformation Model ว่ามี 6 ระดับคือ
- AI Awareness : ที่รับรู้เรื่อง AI แต่เพียงรู้จักและหรือเคยได้ยิน
- AI Understanding : ที่เริ่มเข้าใจ ChatGPT และ AI รวมไปถึงรู้ว่าจะช่วยธุรกิจอย่างไร ซึ่งคนส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับนี้ และอนาคต AI จะเข้ามาแทนที่ได้
- AI Skill : ที่สามารถประยุกต์ใช้ AI ในการทำงานได้จริง โดยไม่จำเป็นต้องท่องจำ Prompt และอนาคตเป็นทักษะที่สำคัญในการเอาตัวรอดในโลกการทำงาน
- AI Insight Integration : ที่ใช้ AI ในการพัฒนาและวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจ
- AI Reprocess : ที่เห็นความเป็นไปได้ของการนํา AI เข้ามาใช้กับธุรกิจในระดับใหญ่ขึ้น เช่น การปรับกลยุทธ์ธุรกิจ, โอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่
- AI Transformation : ที่สามารถถอด Insight ออกแบบเป็น AI Customize Solution ใหม่ ที่สามารถแก้ ไขปัญหาหรือตอบโจทย์ทางธุรกิจโดยเฉพาะของคุณได้
ท้ายที่สุด คำถามสำคัญคือ “ธุรกิจของคุณพร้อมรับมือกับการปรับตัวครั้งนี้มากแค่ไหนกันแน่ ?”
Agile : Driving results and fostering Learning Organizations
ปิดท้ายด้วย Session จาก คุณ กระทิง – เรืองโรจน์ พูนผล Group Chairman จาก KBTG ที่กล่าวถึง Agile ที่ส่งผลการขับเคลื่อนธุรกิจและการส่งเสริมให้องค์กรกลายเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้หรือ Learning Organizations
ก่อนอื่น การเปลี่ยนให้องค์กรกลายเป็น Learning Organizations นั้นเกิดจากองค์ประกอบสำคัญ 5 ข้อคือ
- Personal Mastery : การเป็นบุคคลที่รอบรู้ มีวิสัยทัศน์ชัดเจนว่าเป้าหมายขององค์กรคืออะไร โดยเฉพาะกลุ่มผู้นำที่ต้องกระตุ้นและสนับสนุนพนักงานให้พวกเขาเชื่อมั่นว่าสามารถทำวิสัยทัศน์นั้นให้สำเร็จร่วมกัน
- Team Learning : การเรียนรู้ร่วมกัน ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานในการสร้างพลังของทีม โดยการสร้างการทำงานเป็นทีมให้เกิดขึ้นจริง สร้างคอนเน็คชั่นและการเรียนรู้ร่วมกัน โดยไม่ปล่อยให้ใครสร้างผลลัพธ์เพียงลำดับ
- Mental Model : รูปแบบวิธีคิดและมุมมองที่เปิดกว้าง เป็นทั้งสมมติฐาน ความเชื่อ คุณค่า ทัศนคติ และความเป็นไปได้ที่ทุกคนเห็นภาพนั้นในทำนองเดียวกัน ซึ่งต้องมีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงเสมอ
- Shared Vision : การมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน ซึ่งต้องผสมผสานวิสัยทัศน์ขององค์กรเข้ากับวิสัยทัศน์ของพนักงานด้วย เช่น Apple ที่มีวิสัยทัศน์ว่า make the best products on earth and leave the world better than we found it.
- Systems Thinking : การคิดความเข้าใจเชิงระบบ เป็นกรอบการวิเคราะห์เรื่องราวต่าง ๆ ที่มีอยู่ในองค์กรจากมุมมองแบบบูรณาการ เชื่อมโยงถึงกัน ไม่พิจารณาเป็นส่วน ๆ แยกออกจากกัน ทุกคนจะต้องเข้าใจว่าทุกการกระทำและผลที่เกิดขึ้น มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันนั่นเอง
ทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย หากเราไม่มีการเปลี่ยน Mindset และวิธีการทำงานแบบทีม จาก Top Down ให้หันมาตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากที่สุด หรือเป็นการทำงานแบบ Agile
โดย Agile คือการทำลายการทำงานแบบ Silo ลง แล้วสร้างทีมเล็ก ๆ ในการแก้ปัญหาลูกค้ารายโปรเจกต์ไป ไม่ว่าเป็นลูกค้าภายใน (พนักงาน) หรือลูกค้าภายนอกก็ตาม เพื่อรับ Feedback แล้วแก้ปัญหานั้นอย่างทันท่วงที ซึ่งบางครั้งลูกค้าอาจไม่รู้ว่าปัญหาคืออะไร ฉะนั้นเราต้องทำ Product ขึ้นมา Test เพื่อหา Problem Statement แล้วสร้าง Design Solutions ให้ตอบโจทย์ต่อไป
แม้ว่าการทำงานแบบ Agile มีหลายเครื่องมือให้เลือกใช้ เช่น Kanban Board, Standup Meeting หรือกระทั่ง Plank Meeting แต่ท้ายที่สุดคุณกระทิงเน้นย้ำว่า อย่าโฟกัสที่เครื่องมือ ให้โฟกัสที่ปรัชญาของ Agile ดีกว่า
เพราะ Agile ไม่ใช่ไม้เท้าวิเศษที่จะเสกความสำเร็จให้กับทุกองค์กรเสมอไป
สำหรับใครที่สนใจหลักสูตร HR of the Future สามารถติดตามรายละเอียดได้และสมัครแสดงความสนใจรุ่นที่ 2 ได้ที่ https://uhvug5i4sgr.typeform.com/hrofthefuture2 และ https://www.disruptignite.com/hrofthefuture