การใช้ชีวิตจะมีความสุขหรือไม่ หนึ่งในปัจจัยสำคัญขึ้นอยู่กับว่า การทำงานราบรื่นและมีความสุขไหมด้วย
เมื่อความสุขในการทำงานและการใช้ชีวิตล้วนสอดคล้องกัน Future Trends จึงผนึกกำลังพันธมิตรหลายส่วนเพื่อจัดงาน Work Life Festival 2024 ขึ้นมาในวันที่ 2-3 พฤศจิกายน 2024 พร้อมเชิญวิทยากรจำนวนมากมาพูดคุยให้ความรู้ และมอบเกร็ดการทำงานและการใช้ชีวิตที่น่าจะมีประโยชน์ และสามารถนำไปปรับใช้ได้ไม่มากก็น้อย
HREX มีโอกาสเข้าร่วมงานนี้ด้วย และปักหลักฟังเสวนาประจำเวที Skill Force Stage โดยเฉพาะ เพื่อสรุปเนื้อหาเกี่ยวกับการเสวนาด้านการทำงานที่ HR ทุกคนควรต้องรู้ เนื้อหาที่น่าสนใจมีเรื่องอะไรบ้าง ติดตามได้ในบทความนี้เลย
Contents
1. Opening Remarks
คุณธนโชติ วิสุทธิสมาน CEO ของ Like Me กล่าวเปิดงาน Work Life Festival 2024 ประจำวันแรกว่า Future Trends ค้นพบ 4 สถิติที่น่าสนใจที่มีผลต่อชีวิตของคนทำงานทุกคนดังนี้
- 17 ล้าน เป็นจำนวนของคนไทยที่เสี่ยงตกงานในปี 2030 เนื่องจากการมาของ AI และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี แม้จะมีตำแหน่งใหม่ ๆ เกิดขึ้นเช่นกัน แต่ก็มีน้อยกว่านั้นมาก อีกทั้งตำแหน่งงานที่เกิดใหม่ก็มีความซับซ้อนมากขึ้น ทำให้คนที่ตกงานจะหาโอกาสกลับมาทำงานใหม่ยากขึ้นตามไปด้วย
- 7 ล้าน คือจำนวนของคนที่มีความเสี่ยงเบิร์นเอาท์ โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเมืองที่มีการสำรวจพบว่า Work Life Balance ของคนแย่สุดอันดับต้น ๆ ของโลก
- 5 ล้าน คือจำนวนเงินที่ต้องมีหากไม่อยากใช้ชีวิตยากลำบากยามเกษียณ แต่ก็มีแนวโน้มสูงว่าเงินแค่นี้จะไม่เพียงพอต่อการเกษียณสำราญในอนาคต
คนทำงานทุกคนน่าจะตระหนักดีว่าต้องเผชิญความวุ่นวายและความท้าทายอย่างไรบ้าง ทั้งการเลี้ยงดูตัวเองให้มีชีวิตที่ดี ไปถึงการเลี้ยงดูพ่อแม่ครอบครัว และพอต้องรับผิดชอบหลายสิ่งหลายอย่างเยอะมาก ก็ทำให้ Work-Wealth-Health-Fun ของแต่ละคนขาดความสมดุลด้วย
เป็นไปได้ไหมที่ทั้ง 4 มิตินี้ออกมาดีและสมดุล ? คำตอบคือเป็นไปได้ คุณธนโชติหวังว่า การจัดงาน Work Life Festival ครั้งนี้จะทำให้คนได้เติมเต็มอย่างน้อยด้านใดด้านหนึ่งใน 4 ด้านนี้ให้ดีขึ้น ทำให้ชีวิตของทุกคนดีขึ้น เพื่อให้สังคมเติบโตไปสู่ด้านที่ดีขึ้น ฝ่าฟันทุกวิกฤติและทุกความเปราะบางไปได้
2.10 Skills and Trends for Marketer in 2024
คุณจิตติพงศ์ เลิศประดิษฐ์ นายกสมาคมเทคโนโลยีเพื่อการตลาด MarTech Association และ Founder ของ Marketing Tech Thailand และคุณสโรจ เลาหศิริ ที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และการตลาด จากเพจสโรจขบคิดการตลาด มาร่วมแลกเปลี่ยนกันว่า AI นั้นมีผลกระทบต่อการทำงานการตลาดใหม่ ๆ เปลี่ยนวิธีการคิด เปลี่ยนวิถีการเรียนรู้ ช่วยอำนวยความสะดวกคนทำงานหลายประการ ทำให้นักการตลาดทำงานง่ายขึ้น คิดกลยุทธ์ใหม่ ๆ ได้ง่ายขึ้น และที่สำคัญที่สุด ทำให้เรื่องที่เคยเป็นไปไม่ได้กลายเป็นสิ่งที่เป็นไปได้
ทั้งนี้มี 10 สิ่งที่นักการตลาดจำเป็นต้องรู้และเตรียมพร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ทำงานในยุค AI ครองโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังต่อไปนี้
- Strategic Vision มีหัวด้านกลยุทธ์ คิดเป็น มีวิสัยทัศน์ในการใช้เครื่องมือ ว่าจะใช้มันทำงานให้แตกต่างจากผู้อื่นอย่างไร
- Data Literacy ตระหนักรู้เรื่องข้อมูล ตื่นรู้ว่าจะใช้ข้อมูลอย่างไรจึงจะเกิดประโยชน์ รู้ว่าข้อมูลมาจากแหล่งใด รู้ว่าข้อมูลที่ AI ให้มาถูกหรือผิด จริงหรือปลอม
- Agility in Adaptation ว่องไวในการปรับตัวและเอาตัวรอด เพราะพอโลกเปลี่ยนไปไวแค่ไหน ชุดความรู้ในการทำงานก็จะเปลี่ยนไปเสมอ ดังนั้นเราต้องหาทางเปลี่ยนแปลงตัวเองโดยเร็วที่สุด
- Humanization แม้โลกจะเปลี่ยนไป แต่ต้องไม่ลืมความเป็นมนุษย์ ต้องรู้ว่างานแบบไหนควรใช้ AI งานแบบไหนควรใช้มนุษย์ในการทำงานจึงจะเกิดประสิทธิภาพ
- Collaborative Leadership ตัวเราเองเก่งคนเดียวไม่มีทางไปรอด เราต้องมีความเป็นผู้นำพอที่จะรวบรวมผู้คนให้เดินหน้าไปยังทิศทางเดียวกันได้ มีทักษะการสื่อสาร ความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่นด้วย
- AI Fundamentals เข้าใจพื้นฐานการทำงานของ AI จะช่วยให้เราพอเข้าใจต่อว่าจะนำข้อมูลที่ได้ไปต่อยอดอะไรต่อ
- AI Strategic Vision พอเข้าใจพื้นฐาน ก็จะเริ่มเข้าใจว่าควรวางกลยุทธ์อย่างไร โดยใช้ AI อย่างเกิดประโยชน์
- AI Embedded In Marketing Operation เข้าใจกระบวนการทำงานการตลาด ว่าจะเอา AI มาช่วยทำงานอย่างไร
- Learning and Adaptability ต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต ปรับตัวตลอดชีวิต
Project Management สามารถบริหารโปรเจ็คท์เชิงตรรกะได้ รู้ว่าต้องบริหารจัดการทางธุรกิจอย่างไรทั้งในระยะใกล้ กลาง ไกล จึงจะอยู่รอด
3.The Winning Skills for a Competitive Edge in the Future of Work
คุณแสงเดือน ตั้งธรรมสถิตย์ Co-Founder และ COO จาก JobThai มาอธิบายว่า ในโลกการทำงาน เราต้องมีทักษะอะไรที่จะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานในปัจจุบันและอนาคตบ้าง
คุณแสงเดือนเล่าว่า การจะอยู่รอดในอนาคต เราต้องเข้าใจ Mega Trends หรือสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างแม้จะเกิดขึ้นในต่างประเทศ ย่อมส่งผลต่อไทยไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง โดยเทรนด์ที่ตอนนี้มีอิทธิพลมาก ๆ อย่างปฏิเสธไม่ได้ก็คือเรื่องการใช้ AI ไปจนถึงระบบ Automation ที่กำลังมาทดแทนหรือแทนที่คนในการทำงาน
แต่ถึงแม้มันจะมาทดแทนคน โอกาสก็ไม่เคยปิดกั้นเพราะจะมีงานใหม่ ๆ เกิดขึ้นเสมอ อย่างไรก็ตามโลกยุคต่อไป การสรรหาพนักงานเพื่อหาคนที่เป็นทาเลนต์นั้นจะยากกว่าเดิม ดังนั้นคนทำงานก็ต้องพัฒนาตัวเอง เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เพื่อที่จะทำงานได้ดีกว่า AI
โดยมี 3 ทักษะที่ทุกคนต้องมี ดังนี้
- Technical Skills หรือทักษะ Hard Skills ที่เราต้องรู้ลึกรู้จริงในการทำงาน รู้วิธีใช้เครื่องมือต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ใช้ซฟอต์แวร์ ใช้โปรแกรมต่าง ๆ ให้เป็น
- Conceptual Skills ทักษะการคิดวิเคราะห์ มีความรู้รอบ รู้หลายด้าน แล้วสามารถนำมาดัดแปลงแล้วใช้ในการทำงานได้ มีทักษะการคิดแก้ไขปัญหา รู้ว่าจะป้องกันและแก้ปัญหาแต่ละอย่างอย่างไร
- Human Skills มีทักษะการทำงานร่วมกับคน ร่วมกับผู้อื่น ทำงานเป็นทีมได้ สื่อสารกับผู้อื่นให้เข้าใจง่าย
นอกจากทักษะข้างต้นซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น Hard SKills แล้ว ยังมี Soft Skills ที่เราจำเป็นต้องมีเพื่อการทำงานในอนาคต ดังต่อไปนี้
- Communication ทักษะการสื่อสาร ฟัง พูด อ่าน เขียน วิเคราะห์ ไม่สักแต่เขียน ไม่สักแต่พูด
- Dependability and Attention to Detail มีความน่าเชื่อถือ เชื่อมั่น ใส่ใจในรายละเอียด รับปากอะไรไป ต้องทำให้ได้
- Customer Experience อ่านใจลูกค้าให้ออก
- Quality Management วิธีการทำงานมีประสิทธิภาพ และจะพัฒนาให้ดีขึ้นได้ต่อ ๆ ไป
- Resilience มีความยืดหยุ่น ปรับตัวง่าย พร้อมรับมือต่อทุกการเปลี่ยนแปลง
เมื่อมีทักษะใหม่ ๆ เกิดขึ้น การ Upskill และ Reskill คือสิ่งสำคัญ การจบมาทำงานไม่ตรงสายจะกลายเป็นเรื่องปกติ ถ้าเราเรียนรู้ที่จะมีทักษะหลากหลาย องค์กรจะยิ่งเห็นคุณค่า และอยากร่วมงานด้วย ดังนั้นอย่าลืมพัฒนาตัวเองและปรับตัวตลอดเวลา เพื่อเป็นผู้ชนะในโลกการทำงาน และยืนหยัดอยู่ได้อย่างแข็งแกร่ง
4.What’s Next? ก้าวต่อไปของคนไทยในแผนที่ธุรกิจโลก
คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาว่า แม้ในภาพกว้างจะเห็นการเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ โดยบางช่วงอาจเผชิญกับอุปสรรคและปัญหาบ้าง ถึงอย่างนั้นก็ตาม หากวิเคราะห์จริงจังจะพบว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยกลับค่อย ๆ ลดถอย จากที่เคยโต 7% ต่อปี ค่อย ๆ ลดลงเหลือ 5% จนเหลือเพียง 2% ต่อปีเท่านั้น
การเติบโตที่ถดถอยลงนี้บอกถึงความสามารถของไทยในการแข่งขันกับประเทศอื่นได้น้อยลง ซึ่งหากปล่อยไว้ต่อไปจะยิ่งเป็นปัญหาในอนาคต
อีกสิ่งที่เป็นระเบิดเวลารอการปะทุคือ การเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย เมื่อจะมีคนมากกว่า 20% มีอายุมากกว่า 60 ปี แต่จำนวนเด็กเกิดใหม่จากที่เคยมีมากกว่า 1 ล้านคน ปัจจุบันอัตราการเกิดใหม่กลับต่ำกว่า 5 แสนคนแล้ว
เมื่อคนรุ่นใหม่ไม่อยากมีลูก เพราะกังวลว่าจะไม่สามารถสร้างครอบครัว หรือส่งเสียลูกให้ได้มีชีวิตที่ดีได้ ทำให้ในอนาคตเราทุกคนที่ยังอยู่จะต้องเพิ่ม Productivity ถึง 38% ไม่ใช่เพื่อที่จะเอาชนะประเทศอื่น แต่เพื่อที่จะให้ไทยยังสามารถยืนอยู่ในจุดเดิมที่ยืนอยู่มานานเท่านั้น
ถ้าเปรียบเทียบไทยกับประเทศเกาหลีใต้ สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย จะเห็นได้ว่าหลายสิบปีก่อน การเติบโตจะควบคู่มาใกล้เคียงกัน ไม่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ไทยกลับมีการเติบโตที่น้อยกว่าประเทศอื่น จนหากเป็นเช่นนี้เรื่อย ๆ ประเทศที่เหลือจะยิ่งทิ้งห่างไทยไปไกล
ตัวแปรที่ทำให้การเติบโตแตกต่างกันมาก มาจากความสามารถในการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประเทศที่ร่ำรวยล้วนมีเทคโนโลยีของตัวเองทั้งนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศไทยขาด และยิ่งโลกเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เทคโนโลยีก็ยิ่งพัฒนาไปเร็วด้วย หากไทยสามารถพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง เอา AI มาใช้ประโยชน์ เราอาจจะสร้างสิ่งที่ดี สิ่งที่ก้าวหน้าขึ้นมาได้มากขึ้น
ถ้าเราจะแข่งกับต่างประเทศ แข่งขันกับโลก เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องลงทุนกับเทคโนโลยี ลงทุนกับอนาคต ลงทุนกับการพัฒนาทักษะของบุคลากรของคนในองค์กรและคนในประเทศ มิฉะนั้นต้นทุนขององค์กรในการได้มาซึ่งกำไรจะยิ่งสูงขึ้น
สิ่งสำคัญคือเราต้องอย่ามองเรื่องเหล่านี้ว่าเป็นเรื่องง่าย เพราะทันไม่เคยง่าย ความสำเร็จทุกอย่างล้วนต้องใช้เวลา ฟูมฟักพัฒนาทั้งสิ้น การจะพัฒนาให้สำเร็จ ต้องพัฒนาทักษะคน เราอาจมีเทคโนโลยีแล้วก็จริง แต่ก็อย่าลืมพัฒนาทักษะคนในองค์กรด้วย เราเอาหุ่นยนต์มาทำงานแทนคน แต่ก็อย่าลืมพัฒนาทักษะใหม่ของพวกเขา ทำให้เขาเกิดมูลค่ามากขึ้นด้วย ทักษะต้องเปลี่ยนไปควบคู่กับโลกที่เปลี่ยนไป
ไทยจะไม่สามารถแข่งขันกับโลกได้ในช่วงเวลา 3-5 ปี เพราะต้องใช้เวลาบ่มเพาะเป็น 10 ปี เพื่อสร้างระบบนิเวศของสังคมที่สำเร็จ แต่มันไม่เคยมีคำว่าสายไปที่จะเริ่มต้นบ่มเพาะ เริ่มต้นเปลี่ยนแปลง และสร้างสรรค์สิ่งที่ดีกว่า เราทุกคนสามารถมีส่วนร่วมทำให้ไทยกลายเป็นประเทศพัฒนาได้ ผ่านการเพิ่มทักษะ เพิ่ม Productivity ถ้าไม่เริ่มทำอย่างนั้นตั้งแต่วันนี้ ในอนาคตเราจะไม่สามารถต่อกรกับใครได้เลย
5.HR Revolution เปลี่ยนบทบาท สร้างคุณค่า สู่โลกการทำงานใหม่
คุณสหธร เพชรวิโรจน์ชัย Manager จาก HREX.asia เล่าถึงบทบาทของ HR ว่า ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรอบด้านของโลกใบนี้ บทบาทของ HR ก็ต้องเปลี่ยนแปลงเช่นกันหากต้องการให้องค์กรประสบความสำเร็จ
HR คือผู้มีคุณค่าและมีมูลค่าต่อองค์กร มิติที่น่าสนใจคือ HR อยู่กับพนักงานทุกคนเสมอตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายของการทำงาน บางคนอาจไม่สนิทหรือไม่คุ้นเคยกับคนเป็น HR แต่ตลอดเวลา HR คือผู้สร้างโลกการทำงานไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีแก่ทุกคนเสมอ
ในอดีตตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม นายจ้างอาจมีบทบาทมากที่สุดในองค์กร จะกดขี่พนักงานอย่างไรก็ได้ แต่ต่อมาลูกจ้างเริ่มมีอำนาจ เริ่มมีปากมีเสียง เริ่มถ่วงดุลอำนาจของนายจ้างมากขึ้น นำมาสู่การพัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรบุคคล ต่อยอดขึ้นมาจนกลายเป็นแนวคิด HR ที่พัฒนาจากการเป็นแค่ Admin แต่ต้องเป็น HR Business Partner ที่ทำงานเพื่อเพิ่มคุณค่าขององค์กรและทางธุรกิจ เพราะ HR ต้องร่วมวางกลยุทธ์ที่สอดคล้องไปกับวัฒนธรรมองค์กร และการเปลี่ยนแปลงของโลกด้วย ต้องไม่ทำงานเอกสาร เช้าชามเย็นชามอีกต่อไป
อีกเกิดปัจจัยที่นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงแบบไม่คาดคิดคือโรคโควิด-19 ที่เปลี่ยนวงการ HR เข้าสู่ยุคแห่ง HR Tech ทำให้ HR ต้องเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์มากขึ้นในการบริหารองค์กรมากขึ้น หากเอาเทคโนโลยีมาใช้จะช่วยลดเวลาในการทำงานได้มหาศาล จนมีเวลาทำสิ่งดี ๆ ให้องค์กรมากขึ้นตามมาด้วย
แต่ไม่ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนไปเพียงใด HR ยังเป็นตัวกลางระหว่างลูกจ้างและนายจ้าง ต้องทำงานท่ามกลางความท้าทายคือต้องบาลานซ์ความต้องการของทั้ง 2 ฝ่ายให้ได้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
คุณสหธรเน้นย้ำว่า เราอยากอยู่ในโลกการทำงานแบบไหน ขอแนะนำให้ไปบอก HR ในองค์กรได้เลย เพราะอย่าลืมว่าสุดท้ายแล้ว HR ก็คือคนสร้างโลกการทำงานให้เรา พนักงานจะอยู่กับเขาไปตลอดหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการมุ่งมั่นทำงานของ HR ว่าอยากสร้างสถานที่ทำงานนั้นให้น่าอยู่เพียงใด
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จะเป็น HR หรือใครก็ตาม ต้องไม่ลืมใส่ความเป็นมนุษย์ลงไปในการทำงานด้วย ถ้าเราเอาความเป็นมนุษย์มาใช้ในการทำงาน มันจะช่วยเปลี่ยนแปลงโลกการทำงานในวันนี้ให้ดีขึ้น เปลี่ยนองค์กรให้น่าอยู่และน่าทำงานยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
6. Career Acceleration Secrets: เคล็ดลับการเติบโตอย่างรวดเร็วในองค์กร
คุณปิยาภัสร์ สุขฑีฆะ Head of Away from Home Channel จากบริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) เล่าว่าทุกคนย่อมคิดเสมอว่าจะทำอย่างไรจึงจะเติบโตในองค์กรจนถึงจุดสูงสุด บางคนอาจคิดว่าแค่ทำงานดีก็เติบโตได้แล้ว แต่ในความเป็นจริงมันอาจไม่เป็นแบบนั้นเสมอไป
คุณปิยาภัสร์ แนะนำโมเดลที่ชื่อว่า PIE ย่อมาจาก Performance Image Exposure ว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งกับโลกการทำงาน ดังนี้
Performance ผลการปฏิบัติงานจะบอกว่าเราเป็นพนักงานที่มีประสิทธิภาพหรือไม่ ผ่านการตั้ง KPI หากตั้งได้ดี จะมีผลต่อการเติบโตของตัวเราเองในองค์กร แต่เราต้องหมั่นตรวจสอบด้วยว่าสิ่งที่เราต้องทำนั้น ทำไปแล้วได้ผลออกมาอย่างไร และพอมีงานต้องทำตลอดเวลา อย่าลืมบริหารจัดการความสำคัญ ดูว่าสิ่งไหนควรทำก่อน-หลัง จะทำให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
Image สิ่งที่คนมองเรา เขารับรู้ว่าเราเป็นคนอย่างไร ภาพที่ดีสะท้อนออกมาผ่านภาพลักษณ์ส่วนตัว (Personal Brand) ทัศนคติ (Attitude) และวัฒนธรรมองค์กร (Company Culture) ภาพของเราเหมาะสมหรือเข้ากับภาพลักษณ์ขององค์กรหรือไม่ เหมาะสมกับองค์กรรึเปล่า โดยเราสามารถตรวจเช็คภาพที่ออกมาได้ผ่านการให้ฟีดแบ็ค ผ่านการพูดคุยกับผู้อื่น
Exposure สิ่งที่คนประจักษ์เห็นเราจากในสถานการณ์แตกต่างกัน บางคนมีภาพที่ดี แต่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในองค์กร และบางทีเราเองอาจไม่รู้จักตัวเองด้วยซ้ำ ดังนั้นหากอยากเติบโต ต้องรู้ข้อดี รู้จุดแกร่งของตัวเอง และนำไปสู่การรู้ว่าจะสื่อสารจุดแข็งเหล่านั้นออกมาอย่างไร (Know Your Strength) ต่อมาต้องรู้ว่าจะประชาสัมพันธ์ตัวเองผ่านเวทีไหนขององค์กร จึงจะทำให้คนมองเห็นความโดดเด่นมากที่สุด จงหาเวทีนั้นให้เจอ (Find Your Own Venue) และต้องมีการเตรียมตัวที่ดีด้วย (Well Preparation)
ถ้าเราทำทั้ง 3 อย่างให้มันดี มันจะเป็นก้าวย่างสำคัญที่ทำให้เราเติบโตอย่างประสบความสำเร็จในองค์กรได้แน่นอน
7.พัฒนาทักษะอะไรดี ให้กลายเป็นคนที่ใคร ๆ ก็ต้องการ
คุณโอชวิน จิรโสตติกุล CEO และ Founder จาก FutureSkill เล่าว่ามีคนถามเขาตลอดว่าเราต้องพัฒนาทักษะอะไรบ้าง แต่จริง ๆ แล้วเขาอยากให้ทุกคนกลับไปมองตัวเองก่อนว่า เป้าหมายสูงสุดในชีวิตของเราคืออะไร และงานที่ทำอยู่ในปัจจุบัน เป็นงานที่ใช่สำหรับเราแล้วหรือไม่
ปัญหาที่พบในการทำงานทุกวันนี้คือ หลายคนไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร ไม่รู้ว่าต้องการอะไร หลายคนจึงเปลี่ยนงานบ่อย และเบิร์นเอาท์ เพราะรู้สึกว่างานไม่ตอบโจทย์ชีวิต ถ้าเรารู้ก่อนตั้งแต่แรก มันจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราเดินไปสู่เป้าหมายที่ต้องการได้
คุณโอชวินบอกว่า สิ่งที่เราควรทำคือตั้งเป้าหมายแบบตัวตน (Identity) หาให้เจอว่าเราคือใคร และมองหาคุณค่าในชีวิตว่ามีอะไรบ้าง การค้นหาไม่ยากอย่างที่คิด นั่นคือการหาว่าสิ่งที่เราทำมีคุณค่าอย่างไร ตอบโจทย์ผู้อื่นแค่ไหน และเมื่อนั้นเราจะรู้ว่าเราควรพัฒนาทักษะอะไร เพื่อที่จะตอบโจทย์การทำงาน โดยมีหลักการคิดอยู่ 2 ประการสำคัญ ดังนี้
- Be the Contributors หากเราทำสิ่งที่ไม่มีคนอื่นทำได้ในองค์กร เราคือคนที่สร้างคุณค่าที่เป็นเอกลักษณ์ให้กับองค์กรอย่างมาก
- Be the Competitive Edge Builder คนที่สร้างนวัตกรรมได้ ปรับตัว ยืดหยุ่นได้ สร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันได้ และที่สำคัญไม่ทิ้งองค์กรไปไหน จะทำให้กลายเป็นคนที่โดดเด่นที่องค์กรขาดไม่ได้
แล้วทักษะอะไรที่ควรพัฒนา คุณโอชวินตอบว่ามี 3 อย่าง ดังนี้
- Job Skills เพิ่มทักษะในการทำงานซึ่งปกติแล้วจะเพิ่มขึ้น 10% โดยเฉลี่ยในแต่ละปี
- Power & Innovation Skills ทักษะในการทำงานกับผู้อื่น และทักษะในการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ไม่จำเป็นต้องคิดค้นเทคโนโลยีใหม่เสมอไป แต่เป็นเรื่องการคิด วิเคราะห์
- Digital & Tech Skills ทักษะการใช้และการเรียนรู้เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละวัน
8.Strength-Based Career: เปลี่ยนจุดแข็งให้เป็นเส้นทางสู่ความสำเร็จ
คุณคมจักร กำธรพสินี CEO จาก Nineteen Inc. เล่าว่าจุดแข็งคือสิ่งที่เราถนัด เราทำแล้วทำง่าย แต่ถ้าคนอื่นมาทำจะยาก ไม่เก่งไม่ลื่นไหลเท่ากับเรา ในโลกธุรกิจเราต้องเอาจุดแข็งไปแข่งกับผู้อื่น และมันก็เป็นอย่างนั้นในการทำงานเช่นกัน
คุณคมจักร ยอมรับว่าเขาเคยเป็นหัวหน้าที่แย่ ไม่มีภาวะผู้นำ พยายามเรียนความเป็นผู้นำ เรียนวิธีการบริหารคนจากหนังสือ แต่เมื่อเอาไปใช้งานจริงอาจเอาไปปฏิบัติจริงไม่ได้ เพราะสิ่งที่เขาเอาไปใช้นั้นไม่ใช่จุดแข็งของเขา จนสุดท้ายเขาไม่ได้เอาสิ่งที่เรียนรู้จากหนังสือมาใช้เลย นั่นคือ การเป็นหัวหน้าที่ใจดี การเป็นนักปฏิบัติ แต่เขาโอบรับเอาความดุมาใช้ เอาความเป็นนักคิดมาใช้ เพราะสิ่งนี้เป็นจุดแข็งของเขา และด้วยจุดแข็งเหล่านี้ เขารู้ว่ามันจะทำให้เขา ทีม และองค์กรประสบความสำเร็จ
แต่ละคนล้วนมีแนวทางของตัวเอง มีความถนัดของตัวเอง เราต้องยอมรับความสามารถ ยอมรับจุดดีของตัวเองก่อน จึงจะฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ และนั่นทำให้เขานำหลัก StrengthsFinder มาใช้ ซึ่งแบ่งทักษะออกเป็น 4 รูปแบบคือ
- Leading with Execution เป็นนักปฏิบัติที่ดี อาจคิดไม่เก่ง แต่พร้อมทำงานเต็มที่ มีความสุขที่ได้ทำงานหนัก
- Leading with Influencing พูดเก่ง กล้าแสดงออก พลังงานเหลือล้น ชอบขายไอเดีย โน้มน้าวคนอื่นเก่ง และกดดันคนอื่นเก่ง
- Leading with Relationship Building มีมนุษยสัมพันธ์ดี ชอบสร้างความสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่น
- Leading with Strategic Thinking คนช่างฝัน นักคิดวิเคราะห์ มีหลักการ ชอบนำคนด้วยวิสัยทัศน์
อย่างน้อยถ้ารู้ตัวเองแล้ว จะสามารถนำเอาข้อดี จุดเด่น จุดแข็งของตัวเองเอาไปใช้อย่างเกิดประโยชน์ แล้วสร้างคุณค่าให้กับตัวเอง ทีม และองค์กรได้อย่างแน่นอน