HIGHLIGHT
|
นับตั้งแต่โรคโควิด-19 แพร่ระบาดไปทั่วโลก 3 ปีแล้ว จนเกิดเทรนด์การใช้ชีวิตและการทำงานแบบ New Normal หรือที่บริษัททั่วโลกเรียกว่า Work From Home ไม่จำเป็นต้องมาทำงานที่ออฟฟิศเพื่อเลี่ยงโรคร้าย และมีหลายบริษัทที่ให้ทางเลือกพนักงานว่าจะทำงานที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของพนักงาน ซึ่งมีหลายคนทีเดียวที่ชื่นชอบระบบการทำงานแบบนี้ จนไม่อยากกลับไปทำงานแบบเดิมอีกต่อไป
แต่เมื่อโรคโควิด-19 กลายเป็นโรคประจำถิ่นในหลายประเทศ รวมถึงในประเทศไทย ผู้คนก็เริ่มย้อนกลับไปสู่วิถีการทำงานแบบเดิม ๆ มากขึ้น ภาพของการเบียดเสียดกันบนรถประจำทางสาธารณะทั้งตอนเช้าและตอนเย็นบ่งชี้ว่า การทำงานแบบ Work From Home อาจไม่จำเป็นอีกแล้ว และบางทีในปี 2023 ก็อาจจะไม่มีใครทำงานที่บ้านกันอีกแล้วด้วย
Work From Home จะสิ้นสุดเพียงแค่นี้จริงหรือไม่ บทความนี้จะขอนำทุกท่านไปสำรวจกัน
ฟังความ 2 ด้าน ผู้คนคิดยังไงเรื่องการ Work From Home
สมัยที่การ Work From Home ได้รับความนิยมใหม่ ๆ มีผลสำรวจจากบริษัทวิจัยหลายเจ้าพบว่าผู้คนจำนวนมากชื่นชอบการ Work From Home มากกว่าการทำงานที่ออฟฟิศเยอะทีเดียว พร้อมหาเหตุผลมาอธิบายว่า การทำงานที่บ้านดีกว่าออฟฟิศอย่างไรบ้าง
Owl Labs พบว่า 70% ของคนที่ Work From Home บอกว่า ที่ชอบทำงานที่บ้าน เพราะการประชุมงานทางออนไลน์สร้างความเครียดน้อยกว่าการประชุมงานที่ออฟฟิศ การทำงานที่บ้านไม่ทำให้เป็นออฟฟิศซินโดรม และมีกลุ่มตัวอย่าง 64% ชื่นชอบระบบการทำงานแบบไฮบริด หรือการไปทำงานทั้งที่ออฟฟิศ และทำงานที่บ้านก็ได้ เพราะมีความสะดวก และให้อิสระพนักงานในการเลือกวิธีการทำงานและการใช้ชีวิตมากกว่า
นอกจากนั้น กลุ่มตัวอย่างยังระบุอีกว่า เวลาทำงานที่บ้านจะเกิด Productivity หรือสามารถทำงานได้มากขึ้นกว่าเดิมถึง 47% และการทำงานที่บ้านในแต่ละวัน จะทำให้เสียเวลาไปกับเรื่องที่ไม่ช่วยให้ Productivity เพียง 10 นาทีต่อวันเท่านั้น
หนึ่งในนั้นคือการสำรวจของ PwC พบว่า พนักงานชาวอเมริกัน 11% อยากทำงานประจำเต็มเวลาในออฟฟิศ และ 62% ระบุว่า อย่างน้อยก็ขอมีสักช่วงเวลาหนึ่งที่ได้เข้าออฟฟิศก็พอ
ด้าน Buffer State of Remote Work พบว่า ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา มีกลุ่มตัวอย่างมากถึง 97% ตอบว่าชื่นชอบการทำงาน Work From Home และจะแนะนำคนรอบข้างให้ทำงานวิธีนี้ รวมถึงจะทำงานแบบนี้ไปจนกว่าจะเกษียณด้วย แถมบางคนยังระบุอีกว่า ถ้าให้เลือกระหว่าง Work From Home กับการได้ขึ้นเงินเดือน พวกเขาจะเลือกข้อแรกก่อนอย่างไม่ต้องคิดมากเลย
ถึงจะมีผู้คนไม่น้อยชื่นชอบการทำงานจากที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศอย่างเดียว แต่นานวันเข้า กระแสของคนที่อยากกลับเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ มากกว่าการทำงานที่บ้านตัวเอง ก็ค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้น ผ่านผลวิจัยและผลสำรวจจากหลายสถาบัน
หนึ่งในนั้น คือผลการสำรวจของ Monster ระบุว่า 61% ของคนที่ Work From Home จะเจอสภาวะจนหมดไฟในการทำงาน เพราะทำงานหนักเกินไป ไม่เพียงแค่นั้น 80% ของพนักงานที่ทำงานที่บ้าน ยังคิดถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในออฟฟิศ และ 68% คิดถึงการทำกิจกรรมร่วมกับคนในออฟฟิศด้วย
ข้อเสียของการ Work From Home
ผู้คนมักพูดถึงข้อดีของการ Work From Home หลายประการ HREX เองก็เคยนำเสนอไว้หลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ในขณะเดียวกัน ข้อเสียของการ Work From Home ก็มีหลายข้อเช่นกัน และเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองในปี 2023 เป็นต้นไป ดังต่อไปนี้
1.ทำงานจนหมดไฟ เมื่อไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศแล้ว พนักงานทุกคนจึงสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ แน่นอนว่ามันคือข้อดี แต่ในทางกลับกัน หลายคนก็มองว่ามันเป็นข้อเสียได้ เพราะการ Work From Home ผู้คนมักใช้เวลาในการทำงานต่อวันนานกว่าทำงานที่ออฟฟิศ ดังนั้นเมื่อทำงานนาน ๆ ก็จะยิ่งทำให้สภาพร่างกายและจิตใจแห้งเหี่ยวลง จนรู้สึกหมดไฟในการทำงานและการใช้ชีวิตโดยไม่รู้ตัว
2.งานบางรูปแบบไม่สามารถทำที่บ้านได้ งานบางอย่างสามารถทำที่ไหนก็ได้ แต่งานบางประเภทไม่สามารถทำงานจากที่บ้านได้ หรือทำได้ แต่ไม่เกิดผลที่ดีอย่างที่ต้องการ เช่น งานที่ต้องใช้กำลัง งานการควบคุมดูแลเครื่องจักร งานที่อาจไม่ได้พึ่งพาเทคโนโลยีเท่าที่ควร รวมไปถึงงานราชการในประเทศไทยที่นโยบาย Paperless รณรงค์ให้ลดการใช้กระดาษ อาจยังไมไ่ด้ปรับใช้อย่างเต็มที่เท่าที่ควร ทำให้พนักงานจำเป็นต้องเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ และใช้เอกสารกระดาษเป็นหลักฐานในการทำงานรูปแบบต่าง ๆ แทน
3.ขาดการพบปะกับผู้คนในโลกแห่งความเป็นจริง ดังที่กล่าวไปว่า เวลาการทำงานที่บ้าน ผู้คนมักจะใช้เวลาในการทำงานนานกว่าที่ออฟฟิศ เพราะเมื่อตื่นเช้ามาก็สามารถทำงานได้เลย ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเดินทาง ฝ่าฝูงชนเพื่อไปตอกบัตรทำงานแล้ว และเมื่อสามารถนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมได้เลยตั้งแต่เช้า ก็อาจทำให้ยาว ๆ ไม่ต้องลุกไปไหน ไม่ได้ออกไปดูโลกภายนอก อาจส่งผลให้ทักษะการเข้าสังคมน้อยลงโดยไม่รู้ตัว
4.มีสิ่งเร้า สิ่งกระตุ้นอื่นๆ มาทำให้ไม่ได้งาน กรณีนี้อาจพบเจอได้ในบ้านของพนักงานที่มีคนพลุกพล่าน เช่น ในครอบครัวที่มีลูก เป็นต้น ทำให้อาจไม่สามารถใช้สมาธิได้เต็มที่ ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับการทำงานได้เท่าที่ควร รวมไปถึงความไม่พร้อมของอุปกรณ์ในการทำงานที่บ้าน เช่น ไม่มีทำงาน ไม่มีเก้าอี้ ไม่มีคอมพิวเตอร์ เป็นต้น และอาจเป็นหนึ่งในเหตุผลว่า ทำไมพนักงานถึงต้องใช้เวลานานเหลือเกิน กว่างานจะเสร็จสมบูรณ์
ทำไมหลายองค์กรถึงไม่อยาก Work From Home
อีกฝ่ายที่อาจไม่ชอบการ Work From Home และเผลอๆ อาจไม่ชอบมากกว่าพนักงานเสียอีก ก็คือฝั่งของบริษัทเอง และหากมีโอกาสเมื่อไหร่ องค์กรก็พร้อมจะเรียกคนให้กลับมาทำงานที่ออฟฟิศตลอดเวลา โดยเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังนั้นอาจสรุปออกมาได้ดังต่อไปนี้
1.คิดถึงรูปแบบการทำงานแบบเดิม ๆ รูปแบบการทำงานดังกล่าวคือการมีปฏิสัมพันธ์กันในที่ทำงาน การได้เจอหน้าเพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง รวมไปถึงหัวหน้า โดยผู้ที่เป็นหัวหน้า ย่อมอยากเห็นความเป็นไปในออฟฟิศที่พวกเขาสามารถสอดส่องได้ รวมถึงได้เห็นกับตาตัวเองว่า ผู้คนกำลังทำงานจริง ๆ
2.ออฟฟิศคืออำนาจ การทำงานอยู่ในออฟฟิศกันหลาย ๆ คน จะทำให้คนที่เป็นหัวหน้ารู้สึกมีอำนาจ มีบทบาทมากกว่า และพิสูจน์ได้ง่ายว่า พนักงานทำหน้าที่สมกับค่าจ้างที่จ่ายจริง ๆ ซึ่งจะพิสูจน์ได้ยากหาก Work From Home
นอกจากนั้นการ Work From Home ยังทำให้หัวหน้างานในระดับเหล่านี้สูญเสียความมั่นใจว่า จริง ๆ แล้ว พวกเขาอาจไม่จำเป็นต่อการทำงานนี้ก็ได้ ในเมื่อพนักงานส่วนอื่น ๆ สามารถเดินหน้างานของตัวเองโดยไม่มีเขาคอยจ้ำจี้จ้ำไช
สอดคล้องกับการสำรวจของ Resume Builder ที่พบว่า มีหัวหน้างานถึง 21% ประกาศว่า หากพนักงานคนไหนไม่ยอมกลับมาทำงานที่ออฟฟิศ จะโดนไล่ออก แต่พนักงานก็ไม่ได้ยอมให้โดนกดขี่เพียงฝ่ายเดียว เพราะมีถึง 2 ใน 3 บอกว่า ถ้าบังคับกลับมาทำงานที่ออฟฟิศจริง ๆ ล่ะก็ พวกเขาก็จะลาออกเองแน่นอน
3.อยากให้ใช้งานออฟฟิศให้คุ้มค่า หากมีออฟฟิศ มีที่บัญชาการเป็นหลักเป็นแหล่งกันอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช้งานให้เต็มที่ก็เท่ากับว่าบริษัทเสียเงินค่าเช่าที่ไปแบบฟรี ๆ ไม่คุ้มกับที่ลงทุนไป ดังนั้นการอยากให้พนักงานกลับมาออฟฟิศ จึงจะช่วยให้ไม่เสียค่าเช่าที่แบบเสียเปล่านั่นเอง
อีกสิ่งที่ต้องกล่าวถึงก็คือ หลายบริษัทไม่จ่ายค่าใช้จ่ายอื่น ๆ จากการ Work From Home ให้พนักงาน เช่น ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต เป็นต้น เพื่อบีบให้พนักงานอยากมาทำงานที่ออฟฟิศมากกว่า และรู้หรือไม่ว่ามีบริษัทที่ทำแบบนี้มีถึง 10% เลยทีเดียว
4.เพราะการ Work From Home ใช้เวลาเยอะกว่าทำงานในออฟฟิศ จากการศึกษาของ Society for Human Resource Management พบว่าคนระดับหัวหน้า ไม่ชอบการทำงานที่บ้านเพราะต้องใช้เวลาเยอะกว่าการทำงานในออฟฟิศ แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการทำงานที่น้อยลง
นอกจากนี้ยังมีสถิติพบว่า เกือบ 70% ของพนักงานที่ทำงานที่บ้าน คือคนที่บริษัทสามารถหาคนมาทำงานแทนได้ง่ายกว่าพนักงานที่ทำงานที่ออฟฟิศ และมีหัวหน้างาน 67% บอกว่าพวกเขาต้องใช้เวลาในการควบคุม ดูแลงานของพนักงาที่ทำงานที่บ้าน มากกว่าพนักงานที่มาทำงานที่ออฟฟิศ ไปจนถึงขั้นว่า มีหัวหน้างาน 42% ที่ลืมนึกถึงพนักงานที่ทำงานที่บ้าน ตอนจะมอบหมายงานแต่ละครั้งในการประชุมด้วยซ้ำ
บริษัทควรหาทางออกให้คนที่อยาก WFH และไม่อยาก WFH อย่างไร
ปัญหาคนไม่อยาก Work From Home อาจเจอน้อยกว่าคนที่อยาก Work From Home แต่ไม่สามารถทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาชีพที่จริงๆ แล้วสามารถทำงานจากที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้
บริษัทและ HR สามารถช่วยหาทางแก้ไขให้กับปัญหานี้ได้อย่างไร เพื่อทำให้การทำงานในปี 2023 เป็นต้นไปมีคุณภาพมากขึ้น อาจพิจารณาได้จากตัวเลือกดังต่อไปนี้
1.ฟังเสียงของพนักงาน ก่อนจะออกมาตรการหรือนโยบายใดๆ ของบริษัทออกมา ผู้ออกนโยบาย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของบริษัท หรือ HR จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องถามความเห็นของพนักงานในองค์กรก่อน การบังคับให้เลิก Work From Home ก็เช่นกัน เพราะการออกกฎบังคับใด ๆ โดยที่พนักงานไม่เห็นด้วย อาจนำไปสู่หลายปัญหาตามมาได้ รวมถึงการลาออกไปหาบริษัทที่มีวิถีการทำงานตอบโจทย์มากกว่า
2.ให้เหตุผลที่ฟังขึ้น โต้แย้งไม่ได้ หากต้องการให้พนักงานกลับมาออฟฟิศจริง ๆ บริษัทต้องสามารถให้เหตุผลที่ฟังขึ้นได้ว่า การทำงานที่ออฟฟิศมีข้อดีอย่างไร และการทำงาน Work From Home ที่ผ่านมามีข้อเสียอย่างไร ตำแหน่งหน้าที่ไหนที่ยังไงก็ให้ Work From Home ไม่ได้ ผ่านผลการดำเนินงานที่มองเห็นหลักฐานอันเป็นรูปธรรม
หากบริษัทเหตุผลที่ฟังขึ้น เข้าใจได้จริง จะช่วยซื้อใจพนักงาน ทำให้พนักงานอยากร่วมมือและร่วมขับเคลื่อนองค์กรไปพร้อมกัน แต่หากบริษัทไม่สามารถให้เหตุผลเพียงพอ จะกลายเป็นการทำให้พนักงานขุ่นเคืองใจ และเกิดปัญหาต่าง ๆ ในขั้นตอนปฏิบัติงานตามมา
3.ไม่บังคับ ให้ทางเลือกและความสมัครใจ มนุษย์ทุกคนล้วนอยากมีตัวเลือกในการใช้ชีวิต รวมถึงในการทำงาน ไม่มีใครอยากโดนบังคับให้ต้องทำสิ่งที่ไม่อยากทำ หากการ Work From Home เป็นสิ่งที่พนักงานต้องการ และข้อมูลที่บริษัทมีอยู่ในมือแสดงให้เห็นว่า การ Work From Home ช่วยบริษัทเติบโตได้ การบังคับให้เข้ามาทำงานที่ออฟฟิศอาจเป็นการชักใบให้เรือเสีย
บริษัทเองต้องกลับมาสำรวจวิธีการประเมินผลพนักงานด้วยเช่นกันว่า วิธีการประเมินผลพนักงานควรดูจากอะไร ดูจากผลของงานที่ออกมา หรือดูจากการเข้าออกงานตรงเวลา อะไรคือสิ่งที่สำคัญต่อความอยู่รอดของบริษัทมากกว่ากัน
4.หาวิธีเทรนด์พนักงานให้พร้อมรับมือกับการทำงาน แทนที่จะมัวแต่กีดกันไม่ให้พนักงาน Work From Home จะดีกว่าหรือไม่ หากบริษัทใช้โอกาสนี้ช่วยพนักงานให้สามารถทำงานที่บ้านอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในเวลาที่ไม่ต่างกับการทำงานที่ออฟฟิศ ลดปัญหาด้านการสื่อสาร ไปจนถึงลดปัญหาความเครียดจากการทำงานจนหมดไฟ ซึ่งสามารถทำได้ผ่านการใช้ HR Technology ทั้งโปรแกรม e-Learning โปรแกรม e-Training และอื่น ๆ อีกมากมาย
อาจเป็นโอกาสดีที่จะได้สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแรง สร้างจุดมุ่งหมายแบบเดียวกัน และสร้างความกลมกลืนให้เกิดขึ้นด้วย ซึ่งไม่เพียงช่วยให้พนักงานสามารถทำงานได้ดีขึ้น แต่ยังรวมถึงสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณค่ามากขึ้นด้วย
บทสรุป
ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบการ Work From Home ก็ตาม การหยุดยั้งพนักงานไม่ให้ Work From Home แล้วบังคับพนักงานเข้าออฟฟิศเพียงอย่างเดียว อาจไม่ใช่ทางออกที่ดีต่อทุกฝ่ายอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่มีเทคโนโลยีมากมายช่วยให้การทำงานของมนุษย์ดีขึ้น ประสบความสำเร็จง่ายขึ้น เพราะเราไม่สามารถ One Size Fit All ได้แล้ว แต่ต้องปรับให้เกิดความ Dynamic กับความต้องการของพนักงาน และตอบโจทย์ทางธุรกิจ
ดังนั้นหากบริษัทและพนักงานหากสามารถหาพื้นที่ตรงกลางได้ ย่อมเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย และจะช่วยให้ไม่เพียงปี 2023 เป็นปีทองของการทำงาน แต่ยังรวมไปถึงปีต่อ ๆ ไปด้วย