ถ้าถูกถามว่า คำพูดติดปากของคุณคือคำไหน? คุณจะตอบว่าอะไร และมีกี่คำอยู่ในใจของคุณ
บางทีเราก็ไม่ได้รู้ตัวว่าคำพูดที่เราพูดออกไปนั้นอาจทำให้คนฟังเกิดความรู้สึกขุ่นเคืองใจโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจได้ และไม่สามารถรู้ได้ว่าคำพูดไหนของเราที่ทำให้คนอื่นต้องรู้สึกไม่ดี เช่นเดียวกันกับในที่ทำงาน ถ้าหากโดนหัวหน้าพูดไม่ดีใส่ โดยที่คุณไม่ได้ทำอะไรผิด คงต้องรู้สึกแย่เป็นธรรมดา
ดังนั้น HREX จึงได้รวบรวมคำพูดของหัวหน้าที่อาจทำให้คนฟังรู้สึกหงุดหงิด มานำเสนอทุกคน
หมายเหตุ ความหงุดหงิดจากการฟังขึ้นอยู่กับแต่ละคน ตัวอย่างยกมาจากการสนทนาของหัวหน้าและพนักงานชาวญี่ปุ่น
คำพูดของหัวหน้าที่ทำให้คนฟังไม่พอใจ 5 ประเภท
เราสามารถแบ่งคำพูดของหัวหน้าที่ทำให้คนฟังรู้สึกหงุดหงิดใจได้ 5 ประเภท ดังนี้
หัวหน้าที่ชอบใช้คำพูดเหน็บแนม เสียดสี
“ปกติต้องทำอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
หัวหน้า : อืม ปกติต้องทำอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?
ภายในใจของลูกน้อง : แล้วคำว่า ปกติของหัวหน้า นี่คือยังไงล่ะครับ!!!
ถึงแม้ว่าคนพูดอาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่สำหรับคนฟังแล้ว คงรู้สึกเหมือนถูกเหน็บแนมอยู่นิดๆ ล่ะครับ
หัวหน้า : อืม ฝากด้วยนะ
ถ้าลองเปลี่ยนคำพูดเป็น ฝากด้วยนะ หรือ วานหน่อยนะ จะทำให้ดูซอฟท์ลงมากกว่าและไม่รู้สึกว่ากำลังถูกเหน็บอยู่ได้ครับ
“รู้ดีหนิ”
หัวหน้า : อืม รู้ดีหนิ
คำพูดลักษณะนี้ คนฟังจะรู้สึกเหมือนโดนดูถูกได้ แม้จะไม่มีน้ำเสียงเข้ามาเกี่ยว ลองเปลี่ยนคำพูดเป็น “ใช่เลย” หรือคำอื่นๆ ที่ไม่แฝงความรู้สึกดู ถูกเหน็บแนมไว้จะดีกว่าครับ
“อุ๊ย!”
หัวหน้า : อุ๊ย~ จริงด้วย
ลูกน้อง : เอกสารที่ขอให้หัวหน้าเซ็นเมื่อวาน ได้รึยังครับ
หัวหน้า : อุ๊ย~ รอแปบนึงน้า
คำพูดนี้คุณอาจใช้เป็นคำแก้ตัวเมื่อลืมทำอะไรไปบางอย่าง แต่บางครั้งก็ทำให้คนฟังรู้สึกหงุดหงิดใจได้ไม่น้อย เพราะฉะนั้นหัวหน้าควรใช้เลือกคำพูดที่ฟังแล้วไม่คลุมเครือ ตอบให้ชัดเจนจะดีกว่าครับ
“ก็ทำได้หนิ”
หัวหน้า : อืม ก็ทำได้หนิ
ในสถานการณ์แบบนี้ แทนที่จะพูดคำที่ให้ความรู้สึกไปในทางลบ คำพูดเหน็บแนม ควรพูดขอบคุณหรือขอบใจมากกว่าครับ สำหรับคนฟังเองพอได้ยินคำขอบคุณ ก็ทำให้มีแรงใจในการทำงานมากขึ้นด้วย
“คนส่วนใหญ่เขาก็ทำกันนะ”
หัวหน้า : คนส่วนใหญ่เขาก็ทำแบบนี้กันนะ
คนที่ได้ฟังคำพูดแบบนี้ ต้องมีคิดกันบ้างล่ะว่า คนส่วนใหญ่ที่พูดถึงนี่คือใคร มาจากไหน เกี่ยวอะไรกับการสนทนาครั้งนี้
นอกจากนี้เป็นธรรมดาที่คนเราจะรู้สึกไม่ชอบใจ เมื่อโดนเอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ดังนั้นการเลี่ยงคำพูดในเชิงเปรียบเทียบจึงเป็นอีกเรื่องที่สามารถรักษาน้ำใจของคนฟังได้ครับ
“อย่างนั้นหรอครับ”
จริงอยู่ ที่การพูดสุภาพเป็นเรื่องที่ควรพึงกระทำกัน แต่ในอีกแง่หนึ่ง การที่คนเป็นหัวหน้าใช้การพูดสุภาพกับลูกน้องโดยที่ไม่ใช่นิสัยของหัวหน้าคนนั้นอยู่แล้ว คนฟังอาจตีความหมายคำพูดนั้นไปในเชิงเหน็บแนมได้
ถ้าคุณไม่ใช่คนที่พูดสุภาพเป็นนิสัยอยู่แล้ว ให้พูดตามสไตล์ปกติของคุณเองจะดีที่สุดครับ
“ว่างไหม?”
หัวหน้า : ยามาดะคุง ว่างไหม?
ลูกน้อง : …ครับ ว่างครับ
เมื่อโดนหัวหน้าถามว่า ว่างไหม จะมีพนักงานสักกี่คนที่กล้าตอบว่า ไม่ว่าง หลายๆ คนก็คงมีแอบคิดบ่นในใจด้วยซ้ำไป แต่ในเมื่อเราอยู่ในตำแหน่งผู้ใต้บังคับบัญชา ถึงแม้ในใจจะค้านหัวชนฝาแค่ไหน เราก็ต้องตอบว่าว่างไว้ก่อน
หัวหน้าที่ชอบใช้คำพูดเชิงบังคับ
“เข้าใจไหม?”
คำพูดแบบนี้จะทำให้คนฟังรู้สึกเหมือนโดนบังคับให้ตอบว่า เข้าใจ เพียงอย่างเดียว ไม่สามารถตอบปฏิเสธว่าไม่รู้ หรือไม่เข้าใจได้
ซึ่งหากคนฟังไม่เข้าใจจริงๆ ก็ไม่กล้าที่จะถามต่อไป เพราะกลัวว่าถ้าตอบว่า ไม่เข้าใจ จะทำให้หัวหน้าไม่ไว้ใจให้เขาทำงานต่อได้
“จะหยุดเหรอ?”
หัวหน้า : เอ๊ะ จะหยุดหรอ?
ลูกน้อง : ใช่ครับ…
“จะหยุดหรอ” “จะกลับบ้านแล้วหรอ” ใครเคยโดนหัวหน้าพูดแบบนี้ใส่บ้างครับ?
หัวหน้าที่พูดออกไปอาจจะพูดด้วยอารมณ์ขัน ไม่ได้จริงจังอะไร แต่สามารถสร้างความรำคาญให้คนฟังได้ไม่น้อยครับ
“ก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรอ?”
หัวหน้า : ก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรอ?
ลองสมมติ เหตุการณ์ต่อจากนี้นะครับ
หัวหน้า : ก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรอ?
ลูกน้อง : ผมลืมไปแล้วครับ
พนักงานคนนั้น คงได้โดนหัวหน้าเขม่นแน่นอน ยิ่งกับคนญี่ปุ่นที่เคร่งครัดในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้าและลูกน้องแล้วด้วย อาจไม่จบแค่โดนเขม่นเฉยๆ ครับ
“ก็เคยบอกแล้วไง”
หัวหน้า : ก็เคยบอกแล้วไง ว่าให้สั่งมา 100 เสมอ
คำพูดนี้จะทำให้คนฟังรู้สึกเหมือนตัวเองได้พูดอะไรผิด หรือทำอะไรผิดไป สำหรับลูกน้องอาจแค่ต้องการยืนยันข้อมูลให้แน่นอน เพื่อให้งานถูกต้องไม่มีความผิดพลาด
ในการทำงานของคนญี่ปุ่น หัวหน้าที่พูดแบบนี้จะทำให้การทำงานแบบ HOURENSO เป็นไปด้วยความยากลำบาก
“ทำอะไรอยู่เหรอ?”
หัวหน้า : เอ๊ะ แล้วมัวแต่ทำอะไรอยู่เหรอ?
หากคุณต้องการเป็นหัวหน้าที่ดีให้กับลูกน้องแล้วละก็ นี่อาจเป็นหนึ่งในคำพูดที่ไม่มีความจำเป็นต้องพูดเลยอย่างยิ่ง เพราะคำพูดนี้อาจทำให้คนฟังรู้สึกแย่ และสูญเสียแรงจูงใจในการทำงานไปได้ครับ
ก่อนที่จะต่อว่าหรือใช้อารมณ์ ควรเข้าใจสภาพการณ์ของพนักงาน ลูกน้องของคุณก่อน แล้วค่อยถามหาเหตุผลว่า เพราะอะไรงานของเขาถึงยังไม่เสร็จ เจอปัญหาตรงไหน แล้วดูว่าเราสามารถให้คำแนะนำอะไรได้รึเปล่า
หัวหน้าที่มีคำพูดติดปาก
“แปลกนะ”
หัวหน้า : แปลกนะ ทำไมมันถึงไม่ราบรื่นเลยล่ะ
อาจเป็นคำพูดที่ไม่ได้แฝงความรู้สึกเหน็บแนม หรือบังคับอะไร แต่ก็สร้างความหงุดหงิดใจให้กับคนฟังได้ไม่น้อย หากพูดนำหน้าทุกๆ ประโยคในการสนทนา
“ขอโทษนะ”
หัวหน้า : ขอโทษนะ ทำงานชิ้นนั้นด้วยได้ไหม?
ในการทำงานของคนญี่ปุ่น เวลาจะสั่งงานหรือไหว้วานอะไร คนที่เป็นหัวหน้ามักจะชอบพูด ขอโทษ (ที่รบกวน) กันจนเป็นคำติดปาก ซึ่งฟังดูเหมือนคนพูดจะเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน
แต่ในความเห็นของคนญี่ปุ่นหลายๆ คนก็รู้สึกว่า การพูดขอโทษบ่อยๆ ไม่ได้ทำให้รู้สึกถึงความอ่อนน้อมขนาดนั้น กลับกันยังทำให้คนฟังรู้สึกรำคาญ ได้แต่ตั้งคำถามว่า ถ้าจะขอโทษขนาดนี้ ทำไมไม่ทำงานชิ้นนั้นด้วยตัวเองนะ
“สรุปแล้ว”
หัวหน้า : สรุปแล้วก็จะลาออกใช่ไหมล่ะ
คงมีหัวหน้าหลายๆ คนที่ชอบฟังข้อสรุปจากลูกน้องจนคำๆ นี้กลายเป็นคำพูดติดปาก แต่บางครั้งคำนี้ก็สามารถสร้างความรำคาญและ ความรู้สึกถูกเหน็บแนม ให้กับคนฟังได้
หัวหน้าที่ชอบถามกลับ
“เอ๊ะ…หรอ?”
หัวหน้า : เอ๊ะ ผมต้องเป็นคนยืนยันให้หรอ?
ลูกน้อง : ผมเอาเอกสารไปให้ท่านประธานแล้วครับ
หัวหน้า : เอ๊ะ เอกสารนั้นต้องส่งให้ท่านประธานด้วยหรอ?
เมื่อเจอคำพูดแบบนี้ของหัวหน้าบ่อยๆ เข้า ลูกน้องจะรู้สึกกังวลใจ ว่าตัวเองได้ทำงานอะไรผิดพลาดไปรึเปล่า และอาจกลายเป็นคนสูญเสียความมั่นใจไปได้เลย
“แล้ว?”
ลูกน้อง : เพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวโตเกียวดิสนีย์แลนด์มากขึ้น เราเลยคิดจะนำมิกกี้ เมาส์ที่พูดด้วยภาษาอังกฤษเข้ามาครับ เรื่องรายละเอียดยังไม่ได้กำหนดไว้แน่ชัด และคำนวนค่าใช้จ่ายไว้ที่ 10 ล้านเยน ต่อเดือนครับ
หัวหน้า : แล้ว?
ในขณะที่ลูกน้องรายงานผลของการทำงานอย่างขะมักเขม้น หัวหน้ากลับตอบกลับมาแค่คำสั้นๆ คำเดียวแบบนี้ ต่อให้คนพูดไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แต่คนฟังก็คงรู้สึกติดลบไปแล้ว
“แล้วยังไงต่อ?”
หัวหน้า : แล้วยังไงต่อ?
ที่พูดแบบนี้ออกมา คงเพราะหัวหน้าอยากฟังข้อสรุปของเรื่องทั้งหมด แต่การตอบกลับด้วยคำพูดอย่าง แล้วยังไงต่อ หรอ แล้วไงล่ะ ฯลฯ อาจทำให้คนฟังรู้สึกว่าคุณไม่ได้ใส่ใจในสิ่งที่เขาพูดสักเท่าไร
หัวหน้าที่ชอบใช้คำพูดแสดงถึงความไร้น้ำใจ เย็นชา
“คิดเองสิ”
หัวหน้า : อืม…นายคิดด้วยตัวเองได้ไหม
หัวหน้าหลายๆ คนก็ใช้วิธีการให้พนักงานเรียนรู้งานด้วยตัวเอง เพื่อให้พนักงานได้พัฒนาศักยภาพอย่างเต็มที่ แต่หัวหน้าบางคนรู้สึกว่าการสอนงานเป็นอะไรที่ยุ่งยาก เพื่อตัดความรำคาญ จึงเลือกที่จะใช้คำพูดแบบนี้ออกไป ทำร้ายจิตใจคนฟังโดยไม่รู้ตัว ส่งผลให้การทำงานด้วยกันต่อจากนี้ไม่ราบรื่น
“ตอนนี้กำลังยุ่งอยู่”
หัวหน้า : โทษที ตอนนี้กำลังยุ่งอยู่
พอลูกน้องถามอะไร ก็เอาแต่ตอบไม่ว่าง คนที่เป็นหัวหน้าในลักษณะนี้จะทำให้ลูกน้องไม่อยากที่จะถามอะไรอีก เพราะรู้ว่ายังไงหัวหน้าก็ตอบว่ายุ่งกลับมา และท้ายที่สุดการพูดคุยกันระหว่างหัวหน้าและลูกน้องก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ
ซึ่งบริษัทไหนที่การสื่อสารระหว่างหัวหน้าและลูกน้องน้อยเกินไป ไม่ใช่บริษัทที่ดี เพราะการพูดคุยกันสำหรับพนักงานถือเป็นการเรียนรู้วิธีการทำงานอีกแบบหนึ่ง
“อือ/เออ”
หัวหน้า : อืม
หัวหน้า : อือ
ลูกน้อง : เอกสารที่ขอไว้เสร็จแล้วครับ
หัวหน้า : อืม
ลูกน้อง : ช่วยตรวจสอบเอกสารชุดนี้ด้วยครับ
หัวหน้า : เออ
จริงแล้วหัวหน้าอาจไม่ได้มีเจตนาให้คนฟังรู้สึกว่าคำตอบที่เขาให้ไปฟังดูห้วนๆ หรือเย็นชา แต่อาจเพราะเลือกใช่คำผิด จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คนฟังจะรู้สึกเช่นนั้น หากลองเปลี่ยนเป็นคำพูดแบบนี้
ลูกน้อง : ไปทานข้าวนะครับ
หัวหน้า : อือ ไปทานเลย
ลูกน้อง : เอกสารที่ขอไว้เสร็จแล้วครับ
หัวหน้า : อืม ขอบใจมาก
ลูกน้อง : ช่วยตรวจสอบเอกสารชุดนี้ด้วยครับ
หัวหน้า : โอเค ได้
นอกจากจะไม่เย็นชาเกินไปแล้ว ยังเป็นการสร้างความประทับใจให้คนฟังได้อีกด้วยครับ
“คุณ, เธอ”
หัวหน้า : แล้วเธอล่ะ?
การใช้ คุณ เธอ เรียกอีกฝ่ายนั้นไม่ได้เป็นเรื่องที่แย่เสมอไปครับ เพียงแต่อาจทำให้เกิดความรู้สึกห่างเหินหรือ แฝงความรู้สึกในทางลบเอาไว้ได้ เช่น ทำให้คนฟังรู้สึกเหมือนโดนดูถูกอยู่ เป็นต้น
สรุป
เป็นยังไงกันบ้างครับ กับเนื้อหาที่เราได้นำมาเสนอในครั้งนี้
ในโลกมีคนอยู่มากมาย หลากหลายบุคลิก แน่นอนว่าเราไม่สามารถไปบังคับให้เขาทำตามในสิ่งที่เราต้องการได้ทั้งหมด การพูดก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่าใครก็คงไม่อยากฟังคำพูดไม่ดี บั่นทอนจิตใจ ใช่ไหมครับ
และแม้ว่าบางครั้งเราจะระมัดระมัดระวังคำพูดมากแค่ไหน ก็อาจจะพลั้งปาก พูดทำร้ายจิตใจคนอื่นไปได้ ดังนั้นการคิดถึงใจเขาใจเรา คิดก่อนพูด ไม่ใช้อารมณ์มาตัดสินใจ จึงเป็นอีกสิ่งที่ทุกคนควรมีไว้ เพื่อให้การทำงานเป็นไปได้ด้วยดี และทุกฝ่ายสบายใจครับ