Impostor Syndrome เหนื่อยไหมทำอะไรก็ห่วย เรื่องจริงหรือแค่คิดไปเอง

HIGHLIGHT

  • Impostor Syndrome เป็นอาการทางจิตเวชชนิดหนึ่งที่สามารถพัฒนาจนถึงขั้นกลายเป็นโรคซึมเศร้าได้ คนที่มีอาการจะด้อยค่าตัวเอง คิดว่าตัวเองไม่เก่ง ไม่มีความมั่นใจ
  • เช็คลิสต์ 5 ข้อของคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเป็นโรคนี้คือ เป็นเพอร์เฟกชันนิสม์ ทำอะไรพลาดไม่ได้ ไม่มั่นใจในความสามารถของตัวเอง คิดว่าใครก็ทำอย่างตัวเองได้ และไม่เคยคิดว่าผลงานของตัวเองดีพอ
  • วิธีเอาชนะ Impostor Syndrome คือหยุดเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น เปลี่ยนความคิดให้มองโลกในแง่ดีมากขึ้น และอย่าคิดว่าเราอยู่คนเดียวบนโลก
  • หากพบกลุ่มเสี่ยง Imposter Syndrome ในที่ทำงาน คนรอบข้างควรพยายามเข้าใจและรับฟัง คอยให้กำลังใจ ชมเชย ให้แง่คิดที่เป็นพลังบวก และหากิจกรรมคลายเครียดทำด้วยกัน

Impostor Syndrome เหนื่อยไหมทำอะไรก็ห่วย เรื่องจริงหรือแค่คิดไปเอง

สังคมโลกไร้พรมแดนในทุกวันนี้เปลี่ยนไปจากเดิมมาก มากเสียจนน่าตกใจถ้าหากเรามองย้อนกลับไปในอดีตแล้วคิดเปรียบเทียบกัน ระยะเวลาเพียงแค่ 20 ปีให้หลังเมื่อนำมาเปรียบกับยุคปัจจุบันที่เราใช้ชีวิตกันอยู่จะเห็นได้ชัดเจนว่าโลกใบนี้เกิดอะไรใหม่ ๆ ขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรม เทคโนโลยี วิถีชีวิตคน หรือแม้แต่อาชีพใหม่ ๆ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ก็มีผลต่อแนวคิดของคนในโลกยุคปัจจุบันมากทีเดียว เรียกได้ว่าเปลี่ยนไปแทบจะเป็นหน้ามือกับหลังมือ 

โลกยุคที่เราอยู่นี้อาจเรียกได้ว่าเป็นยุคโมเดิร์นเรเนซองส์ (Modern Renaissance) หรือพูดง่าย ๆ ก็คือเป็นยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการในโลกโมเดิร์น โลกที่ผู้คนตั้งคำถามกับสิ่งที่เคยเป็นในอดีตว่าดีจริงไหม ถูกต้องจริงหรือ ส่วนคำที่เราได้กล่าวถึงไปในประโยคแรกของการเปิดบทความนี้ก็คือคำว่า ‘โลกไร้พรมแดน’ มีส่วนสำคัญมากในการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต แนวคิด ความเชื่อ ฯลฯ ของผู้คนในปัจจุบัน ซึ่งจะกลายมาเป็น main idea สำคัญของเรื่องที่เรากำลังจะพูดถึงกัน นั่นก็คือโรคประหลาดที่ชื่อว่า Impostor Syndrome

Contents

ทำความรู้จักกับโรค Impostor Syndrome คืออะไร? ทำไมถึงเป็นโรคยอดฮิตของคนยุคนี้?

จากที่ได้เกริ่นถึงคำว่า ‘โลกไร้พรมแดน’ ไปแล้วด้านบน ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดโรคสุดประหลาดนี้ขึ้นบนโลกยุคใหม่ของเรา ย้อนกลับไปในสมัยที่ผู้คนยังไม่รู้จักกับคำว่าอินเทอร์เน็ต ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีเทคโนโลยีล้ำ ๆ หลายอย่าง ไม่มีการแข่งขันกันในเรื่องต่าง ๆ แทบทุกวันแบบในยุคนี้ โลกใบนี้ก็ยังคงไม่รู้จักกับโรคที่เรียกว่า Impostor Syndrome ผู้คนต่างใช้ชีวิตของตัวเอง มีวิธีการดำเนินชีวิต การทำงาน และแนวคิดในเรื่องการประสบความสำเร็จแตกต่างกันออกไป แต่ใครจะรู้ว่าเทคโนโลยีแสนล้ำสมัยที่เรียกว่าอินเทอร์เน็ตนี่เองที่ทำให้จิตใจมนุษย์กลับสวนทางกับความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยี 

เมื่อเรามีอินเทอร์เน็ต การติดต่อสื่อสารทุกอย่างง่ายขึ้นเหมือนปลอกกล้วย คนเรามีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกันได้รวดเร็วเพียงเสี้ยววิแม้อยู่ห่างกันไกลสุดขอบโลก เรามองเห็นวัฒนธรรม วิถีชีวิต ภาษา และสิ่งต่าง ๆ ในอีกซีกโลกหนึ่งได้อย่างง่ายดายเพียงแค่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและทุกครั้งเปิดแอพพลิเคชันอินสตาแกรม เฟซบุก หรือทวิตเตอร์ แต่ทุกสิ่งในโลกย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เราใช้ชีวิตอยู่กับโซเชียลมีเดียทุกวัน วันละหลาย ๆ ชั่วโมง เห็นชีวิตส่วนตัวคนอื่น หน้าที่การงาน ความสำเร็จ ฯลฯ ที่เราไม่มี เราก้าวไปไม่ถึง หรือไม่ได้รับโอกาสตรงนั้น ทำให้หลาย ๆ คนเอาตัวเองไปเปรียบเทียบโดยไม่รู้ตัวและคิดว่าตัวเองไม่มีความสามารถ ทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ ทำดีแล้วก็คิดว่ายังไม่พอ เกณฑ์ก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่บางคนที่ประสบความสำเร็จมาตลอดก็ยังมองว่าสิ่งที่ได้รับมาไม่ใช่เพราะความสามารถของตัวเอง เกิดจากโชคช่วย สภาพแวดล้อม หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ไม่ใช่เพราะตัวเอง จนเกิดการด้อยค่าตัวเอง คิดว่าตัวเองไม่มีความหมาย ความมั่นใจในตัวเองลดลง จนเกิดเป็นต้นกำเนิดของโรคประหลาดที่มีชื่อว่า ‘Impostor Syndrome’

Impostor Syndrome เป็นอาการทางจิตเวชชนิดหนึ่งที่สามารถพัฒนาจนถึงขั้นกลายเป็นโรคซึมเศร้าได้ หากเราควบคุมจิตใจตัวเองได้ไม่ดีพอ หรือไม่รู้จักวิธีคลายความเครียดจากสิ่งที่เราได้รับรู้ ปล่อยให้ความเครียดก่อตัวสะสมในจิตใจไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งทำให้รักษาได้ยากขึ้น เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ท่านผู้อ่านหลายท่านคงกำลังเริ่มผุดความคิดบางอย่างขึ้นมาในหัวแล้ว และกำลังถามตัวเองอยู่ด้วยแน่นอนว่าเรากำลังมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ไหมนะ ดังนั้นเราจะพาไปเช็คลิสต์ดูว่าคุณหรือคนใกล้ตัวกำลังเป็นบุคคลสุ่มเสี่ยงโรค Impostor Syndrome อยู่หรือเปล่า

Impostor Syndrome Checklist: คุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือเปล่า?

เป็นเพอร์เฟกชันนิสม์ มาตรฐานสูง คิดว่าทุกอย่างต้องเพอร์เฟก

คนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงจะมีมาตรฐานสูงมาก ทุกอย่างต้องสำเร็จ ต้องเป๊ะทุกขั้นตอน

ไม่มีคำว่าพลาดในพจนานุกรม

ทุกอย่างที่คนที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคนี้ทำจะต้องไม่ผิดพลาด ถ้าผิดพลาดแค่นิดเดียวหรือมีเรื่องที่ทำแล้วไม่สำเร็จก็จะคิดว่าตัวเองห่วยทันที

คำแนะนำจากผู้เขียน: ชีวิตคนเราไม่มีทางที่จะไม่พลาด เราต้องยอมรับสัจธรรมของโลกใบนี้ก่อนว่าความผิดพลาดคือเรื่องธรรมดาสามัญที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ลองเปลี่ยนความคิดเป็น “ทุกครั้งที่เราทำพลาด ทำให้เราได้เรียนรู้และเติบโตขึ้น” โปรดจงจำไว้ว่าสิ่งที่สำคัญกว่าการประสบความสำเร็จ คือการดึงตัวเองขึ้นมาจากการความล้มเหลว ที่ทำให้เรารู้สึกเจ็บปวด ถ้าผ่านจุดนั้นมาได้แปลว่าเราเป็นคนที่เก่งในการใช้ชีวิต ซึ่งน่าภูมิใจกว่าเก่งอย่างอื่นด้วยซ้ำไป

คิดว่าตัวเองไม่เก่งจริง และกลัวถูกจับได้ว่าจริง ๆ เราไม่เก่ง

คนที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคนี้จะมีความคิดว่าตัวเองไม่เหมาะสมกับสิ่งที่ได้รับ ไม่เก่งพอที่จะได้ในสิ่งที่มีหรือเป็นอยู่ ที่ประสบความสำเร็จได้ก็เพราะโชคช่วย มีคนอื่นช่วย หรือมีคอนเนคชัน

มีแนวคิดว่า “ถ้าฉันทำได้ คนอื่นก็ทำได้”

กลุ่มเสี่ยงจะไม่ได้มองว่าตัวเองพิเศษหรือเก่งกว่าใคร คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำได้เป็นเรื่องปกติธรรมดา

คำแนะนำจากผู้เขียน: ใครกำลังมีความคิดแบบนี้ สลัดออกไปด่วน! ลองสลับเป็น “ถ้าคนอื่นทำได้ ฉันก็ทำได้” เปลี่ยนความคิดแค่นิดเดียวชีวิตก็เปลี่ยนได้ แทนที่จะมองว่าเราไม่เก่ง คนอื่นก็ทำได้เหมือนเรา ลองเปลี่ยนเป็นความคิดบวก ๆ ว่าที่เราทำได้ก็เพราะว่าเราพยายามแบบคนอื่นเหมือนกัน ไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วย

ทำงานอย่างหนักเพราะคิดว่างานที่ผ่านมาไม่เคยดีพอ

ไม่เคยมองว่าสิ่งที่ตัวเองทำไปนั้นทำดีแล้ว แต่มองว่ายังได้ดีกว่านี้ ได้มากกว่านี้ เลยทำงานแบบพลีกายถวายหัวและกดดันตัวเองเพราะอยากทำให้ดีขึ้นอีก

Impostor Syndrome เหนื่อยไหมทำอะไรก็ห่วย เรื่องจริงหรือแค่คิดไปเอง

วิธีเอาชนะ Impostor Syndrome โรคร้ายที่กัดกินหัวใจ

You are not alone จำไว้ว่าเราไม่ได้คิดแบบนี้อยู่คนเดียว

มีคนอีกหลายล้านคนบนโลกที่รู้สึกแบบเรา รู้สึกว่าตัวเองเป็น Impostor รู้สึกไม่เก่งพอ ไม่ดีพอ เพราะฉะนั้นโปรดจงรู้ไว้ว่าสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่นั้นเราไม่ได้เผชิญมันคนเดียวบนโลก และสิ่งที่เรากำลังคิดมันไม่ใช่เรื่องจริง แต่เป็นแค่อาการอาการหนึ่งทางจิตเวชที่วิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้ วันหนึ่งมันจะค่อย ๆ ดีขึ้นอย่างแน่นอน 

หยุดเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น

สิ่งสำคัญคือจงรับรู้ไว้ว่าทุกคนมีความเก่งเป็นของตัวเอง อย่าด้อยค่าตัวเองเพียงเพราะเราเห็นว่าเรื่องราวชีวิตของคนอื่นไม่เหมือนเรา และมันไม่ได้แปลว่าเราไม่เก่งเลย แต่ทุกคนมีวิธีการดำเนินชีวิตเป็นของตัวเองและทุกอย่างบนโลกใบนี้ก็มีจังหวะเวลาของมันต่างหาก คาถาวิเศษที่ควรจะท่องไว้ก็คือ ‘ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว’ ลองถามตัวเองดูว่า ในเมื่อเรารู้ตัวว่าเราตั้งใจที่สุดแล้ว ทำไมมันจะต้องออกมาไม่ดีด้วยล่ะ? 

ฝึกคิดบวกให้เป็น

พูดง่าย แล้วก็ไม่ได้ทำยาก แค่เราเปลี่ยนความคิดเพียงนิดเดียวโลกทั้งใบก็เปลี่ยนได้ ทุกอย่างอยู่ที่มุมมองเราเองทั้งนั้น ถ้าเรามัวแต่ย้ำความคิดลบ ๆ แย่ ๆ ใส่ตัวเอง ชีวิตเราก็จะแย่ตามที่เราคิดจริง ๆ แต่ถ้าเราเชื่อมั่นแต่ในเรื่องที่ดี ชีวิตเราก็จะมีแต่สิ่งดี ๆ เกิดขึ้น เป็นกฎแรงดึงดูดของจักรวาลหรือที่เรียกว่า Law of Attraction คือเราคิดแบบไหน เชื่อแบบไหน ก็จะได้แบบนั้น เพราะฉะนั้นเราลองมาเริ่มเปลี่ยนความคิดกันเถอะ!

หัดเป็นคนมั่นใจในตัวเองซะบ้าง

ทุกอย่างในโลกเป็นไปตามกฎแห่งกรรม ซึ่งกฎแห่งกรรมในที่นี้คือหลักวิทยาศาสตร์ กล่าวคือ ‘ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น’ การกระทำของเราเปรียบเสมือนบูมเมอแรง เราโยนออกไปแรงเท่าไหร่ ผลตอบรับก็ยิ่งแรงเท่านั้น เปรียบได้กับความพยายามของคนเรา ถ้าเราทำอะไรอย่างตั้งใจและเต็มที่กับมัน อย่างไรเสียผลลัพธ์ที่ออกมาจะไม่มีทางแย่ แม้ว่าในตอนนี้อาจจะยังไม่เห็นผล แต่ในสักวันเราจะได้รับรู้ว่าเราได้อะไรสักอย่างที่คุ้มค่ากลับมา 

และในบางครั้ง ผลตอบแทนที่คุ้มค่าอาจไม่ได้มาในรูปแบบของเงินหรือสิ่งของที่จับต้องได้ แต่มันคือคุณค่าทางจิตใจอะไรบางอย่าง แม้ตอนนี้คุณอ่านแล้วอาจจะยังจินตนาการไม่ออก แต่ผู้เขียนเชื่อว่าวันหนึ่งที่คุณได้ประสบกับมันจริง ๆ เข้าแล้ว คุณจะนึกถึงประโยคนี้ และเข้าใจมันอย่างถ่องแท้แน่นอน

ทุกคนรักเรา เพราะฉะนั้นเราควรรักตัวเอง

ทุกคนในที่นี้ไม่ได้หมายถึงทุกคนบนโลก แต่หมายถึงทุกคนที่เรารักและเขาก็รักเรา ทุกคนที่คอยอยู่เคียงข้างในวันที่เราหมดกำลังใจ ลองมองไปรอบตัวตัวเองดูสิ เราไม่เคยอยู่ตัวคนเดียว ไม่ว่าจะครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนสนิท หรือใครก็ตามที่ปรารถนาดีกับเรา ในขณะที่เรากำลังไม่รักตัวเองหรือด้อยค่าตัวเอง สำหรับคนที่รักเราแล้ว ได้โปรดจงรับรู้ว่าตัวเราเองนี่แหละมีค่าสำหรับพวกเขาที่สุด ถึงคุณจะไม่อยากรักตัวเองเพื่อตัวเอง อย่างน้อยก็รักตัวเองเพื่อคนที่รักคุณเถอะนะ

Impostor Syndrome เหนื่อยไหมทำอะไรก็ห่วย เรื่องจริงหรือแค่คิดไปเอง

ทำอย่างไรให้หากพบ Imposter Syndrome ในที่ทำงาน?

ถ้าสุ่มคนมาสัก 10 คน เชื่อว่า 3-5 คนในนั้นต้องกำลังเผชิญกับโรคประหลาดนี้อยู่ ในยุคที่การแข่งขันสูง ยุคที่เราเห็นคนประสบความสำเร็จกันมากมาย คนที่เป็นโรคนี้ก็สูงขึ้นตามไปด้วยเหมือนกัน แล้วในฐานะคนรอบข้าง เราสามารถช่วยคนที่เป็นโรคนี้ หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงโรคนี้ได้อย่างไรบ้าง

ความเข้าใจคือสิ่งสำคัญ

ถึงแม้ว่าเราไม่ได้มีอาการหรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยง เราเลยไม่ได้รับรู้ความรู้สึกเดียวกับคนที่ต้องเผชิญความรู้สึกแย่ ๆ แต่อย่างน้อยเราควรแสดงว่าปรารถนาดีและห่วงใย ให้คนที่กำลังมีปัญหาได้รับรู้ว่าเขาไม่ได้เผชิญกับมันคนเดียว แต่ยังมีคนที่จะคอยอยู่เคียงข้างและพร้อมรับฟังปัญหาของเขาอยู่

คำชมคือพลังใจอันยิ่งใหญ่

ผู้เขียนอยากจะแชร์ประสบการณ์ของตัวเองในการเป็นนักปลอบใจคนรอบข้างมาทั้งชีวิต และนอกจากเป็นนักปลอบใจก็ยังเป็นนักฉีดยามือฉมังอีกด้วย นักฉีดยาที่ว่าก็คือการที่คอยให้กำลังใจเพื่อน ๆ อยู่ตลอดเวลา ฉีดความมั่นใจ ความรักและพลังบวกไปให้ จนทุกคนเอ่ยปากว่า “มาคุยด้วยทุกครั้งก็มีกำลังใจตลอด” ส่วนตัวเราเองก็ได้รับพลังบวกจากคนรอบข้างเช่นกัน โดยผ่านการชมกันในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกวัน ผู้เขียนเลยอยากแชร์พลังบวกดี ๆ ผ่านบทความนี้ไปให้ทั้งคนที่กำลังเผชิญโรคนี้อยู่และคนที่เป็นคนรอบข้างด้วย การที่เราคอยชมกัน ให้กำลังใจ ใช้คำพูดดี ๆ ต่อกันตลอดจะช่วยเสริมสร้างพลังงานดี ๆ ไม่ใช่แค่ตัวคนฟังแต่ยังเป็นตัวคนพูดเองด้วย นอกจากจะเสริมสร้างความมั่นใจแล้วยังเพิ่มความรู้สึกดี ๆ ต่อกัน ทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้น และทำให้เรารู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกด้วย

หากิจกรรมทำร่วมกัน

คิดแต่เรื่องงานตลอดเวลาก็ปวดหัว แม้แต่คนที่ไม่ได้มีปัญหาอะไรยังท้อ แล้วคนที่กำลังเผชิญกับ Impostor Syndrome อยู่ยิ่งแล้วใหญ่ การชวนเพื่อนออกไปทำกิจกรรม Outdoor กิจกรรมแปลกใหม่ให้คลายเครียดสักหน่อยแล้วกลับมาลุยกันต่อจะช่วยเติมพลังได้อย่างดี 

บทสรุป

เหนื่อยไหมทำอะไรก็ห่วย เรื่องจริงหรือแค่คิดไปเอง? 

คำตอบก็คือ ใช่แล้ว คิดไปเองทั้งนั้น

เราไม่ได้ห่วย และเราไม่เคยห่วย 

คุณอาจจะมองว่าตัวเองทำอะไรก็ไม่ดี ไม่เก่ง ไม่เป็นที่น่าพอใจ แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่เลย ใจดีกับตัวเองบ้าง ใจดีกับสิ่งที่เราพยายามมาตลอดบ้าง ที่คุณกำลังรู้สึกเหนื่อยมันไม่ใช่เพราะคุณไม่เก่งเลยต้องทำงานจนเหนื่อย แต่จงรู้ไว้ว่าที่คุณกำลังเหนื่อยอยู่ตอนนี้ มันเป็นเพราะความคิดของตัวคุณเอง ความคิดลบที่บั่นทอนตัวเอง บั่นทอนทั้งจิตใจและความพยายามที่คุณทำมาทั้งหมด เพราะฉะนั้นตั้งแต่นี้ต่อไปมาลองเปลี่ยนความคิดกันใหม่ มาให้รางวัลตัวเอง หันมารักตัวเองกันเถอะ ชีวิตจะมีความสุขขึ้นอย่างแน่นอน ไม่เชื่อก็ลองดู

CTA Employee Benefit

ผู้เขียน

HREX.asia

HREX.asia

Connect People to the Best HR Solution เพื่อสนับสนุนการเติบโตขององค์กรผ่านผู้คน

บทความที่เกี่ยวข้อง